วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาราชามูลปณิธานสูตร

 

พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาราชามูลปณิธานสูตร

藥師琉璃光如來本願功德經


พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาราชามูลปณิธานสูตร
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระศากยมุนีพุทธะ เสด็จประทับ
ณ กรุงเวสาลีสุขโฆสวิหาร พร้อมด้วยพระมหาสาวก ๘,๐๐๐
องค์ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ๓๖,๐๐๐ องค์ และพระราชาธิบดี
เสนาอำมาตย์ ตลอดจนปวงเทพ ในขณะนั้นแล พระมัญชุศรี ผู้
ธรรมราชาบุตร อาศัยพระพุทธาภินิหาร ลุกขึ้นจากที่ประทับทำ
จีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่งลงคุกพระชาณุกับแผ่นดิน ณ เบื้องพระ
พักตร์ของสมเด็จพระโลกนาถเจ้า ประคองอัญชุลีกราบทูลว่า

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดประทาน
พระธรรมเทศนา พระพุทธนามและมหามูลปณิธาน และ
คุณวิเศษอันโอฬาร แห่งปวงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
เพื่อยังผู้สดับพระธรรมกถานี้ให้ได้รับหิตประโยชน์บรรลุถึงสุขภูมิ”

พระบรมศาสดาทรงรับอาราธนาของพระมัญชุศรี
โพธิสัตว์ แล้วจึงทรงพระเกียรติคุณของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าว่า

“ดูก่อนกุลบุตร จากที่นี้ไปทางทิศตะวันออก ผ่าน
โลกธาตุ อันมีจำนวนดุจเม็ดทรายในคงคานที ๑๐ นที รวมกัน
ณ ที่นั้นมีโลกธาตุหนึ่งนามว่า วิสุทธิไพฑูรย์โลกธาตุ ณ
โลกธาตุนั้น มีพระพุทธเจ้าซึ่งทรงพระนามว่า ไภษัชยคุรุไวฑูรย์
ประภาตถาคต พระองค์ถึงพร้อมด้วยพระภาคเป็นพระอรหันต์
เป็นผู้ตรัสรู้ดีชอบแล้วด้วยพระองค์เอง เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชา
และจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นผู้ยอดเยี่ยม
ไม่มีใครเปรียบ เป็นสารถีฝึกบุรุษ เป็นศาสดาแห่งเทวดาและ
มนุษย์ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมกล่าวสอนสัตว์ ดู
ก่อนมัญชุศรี ณ เบื้องอดีตภาค เมื่อตถาคตเจ้าพระองค์นี้ ยัง
เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงตั้ง
มหาปณิธาน ๑๒ ประการเพื่อยังความต้องการแห่งสรรพสัตว์ให้
บรรลุ”

ก็มหาปณิธาน ๑๒ ประการเป็นไฉน

第一大願。

願我來世得阿耨多羅三藐三菩提時。自身光明熾然。照曜
無量無數無邊世界。以三十二大丈夫相八十隨好莊嚴其
身。令一切有情如我無異


1. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งมี
วรกายอันรุ่งเรือง ส่องสาดทั่วอนันตโลกธาตุ บริบูรณ์ด้วยมหาปุ
ริสลักษณะ ๓๒ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ขอให้สรรพสัตว์จงมี
วรกายดุเดียวกับเรา

第二大願。

願我來世得菩提時。身如琉璃內外明徹淨無瑕穢。光明廣
大功德巍巍。身善安住焰網莊嚴過於日月。幽冥眾生悉蒙
開曉。隨意所趣作諸事業


2 .ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอ
ให้วรกายของเรามีสีสันดุจไพฑูลย์ มีรัศมีรุ่งโรจน์โชตนาการยิ่ง
กว่าแสงจันทร์และแสงอาทิตย์ ประดับด้วยคุณาลังการอัน
มโหฬารไพศาลพันลึก ส่องทางให้แก่สัตว์ที่ตกอยู่ในอบายคติ
ให้หลุดพ้นเข้าสู่คติที่ชอบตามปรารถนา

第三大願。

願我來世得菩提時。以無量無邊智慧方便。令諸有情皆得
無盡。所受用物。莫令眾生有所乏少


3. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ขอ
ให้เราได้ใช้ปัญญาโกศลอันล้ำลึกสุขุมไม่มีที่สิ้นสุด ยังสรรพ
สัตว์ให้ได้รับโภคสมบัตินานาประการ อย่าได้มีความยากจน
ใดๆ

第四大願。

願我來世得菩提時。若諸有情行邪道者。悉令安住菩提道
中。若行聲聞獨覺乘者。皆以大乘而安立之


4. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หาก
มีสัตว์ใดที่เป็นมิจฉาทิฐิ ก็ขอให้เรายังเขาให้ตั้งมั่นในสัมมาทิฐิ
ในโพธิมรรค หากมีสัตว์ใดดำเนินปฏิปทาแบบสาวกยาน ปัจเจก
ยาน ก็ขอให้เราสามารถยังเขามาดำเนินปฏิทาแบบมหายาน

第五大願。

願我來世得菩提時。若有無量無邊有情。於我法中修行梵
行。一切皆令得不缺戒具三聚戒。設有毀犯聞我名已。還
得清淨不墮惡趣


5. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หาก
มีสรรพสัตว์ใดมาประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยของเรา ก็ขอ
ให้เขาเหล่านั้นอย่าได้มีศีลวิบัติเลย จงบริบูรณ์ด้วยองค์แห่งศีล
ทั้ง ๓ เถิด หากมีผู้ใดศีลวิบัติ เมื่อได้สดับนามแห่งเรา ก็ขอให้
จงบริบูรณ์ดุจเดิมไปตกสู่ทุคตินิรยาบาย

第六大願。

願我來世得菩提時。若諸有情。其身下劣諸根不具。醜陋
頑愚盲聾瘖啞攣躄背僂白癩癲狂種種病苦。聞我名已一切
皆得端正黠慧。諸根完具無諸疾苦


6. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หาก
มีสรรพสัตว์มีกายอันเลวทราม มีอินทรีย์อันไม่ผ่องใส โง่เขลา
เบาปัญญา ตาบอดหรือหูหนวกเป็นใบ้ หรือหลังค่อม สารพัด
พยาธิทุกข์ต่างๆ เมื่อได้สดับนามแห่งเรา ก็ขอให้หลุดพ้นจาก
ปวงทุกข์เหล่านั้น มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีอินทรีย์ผ่องใส
สมบูรณ์

第七大願。

願我來世得菩提時。若諸有情。眾病逼切無救無歸無醫無
藥無親無家貧窮多苦。我之名號一經其耳。眾病悉得除身
心安樂。家屬資具悉皆豐足。乃至證得無上菩提

7. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หาก
มีสรรพสัตว์อันทุกข์เบียดเบียน ปราศจากที่พึ่งพิงและที่อยู่
อาศัย ปราศจากแพทย์และยา ปราศจากวงศาคณาญาติ อัน
ความยากจนข้นแค้น มีทุกข์มาเบียดเบียนแล้ว เพียงแต่นาม
แห่งเราผ่านโสตของเขาเท่านั้น ขอสรรพความเจ็บป่วยจงปราศ
ไปสิ้น เป็นผู้มีกายใจอันผาสุก มีบ้านเรือนอาศัย พรั่งพร้อมด้วย
ธนสารสมบัติ จนที่สุดก็จักได้สำเร็จแก่พระโพธิญาณ

第八大願。

願我來世得菩提時。若有女人。為女百惡之所逼惱。極生
厭離願捨女身。聞我名已一切皆得轉女成男具丈夫相。乃
至證得無上菩提


8. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หาก
มีอิสตรีใด มีความเบื่อหน่ายต่อเพศแห่งตน ปรารถนาจะกลับ
เพศเป็นบุรุษไซร้ มาตรว่าได้สดับนามแห่งเรา ก็จงสามารถ
เปลี่ยนเพศจากหญิงเป็นชายได้ตามปรารถนา จนที่สุดก็จักได้
สำเร็จแก่พระโพธิญาณ

第九大願。

願我來世得菩提時。令諸有情。出魔罥網。解脫一切外道
纏縛。若墮種種惡見稠林。皆當引攝置於正見。漸令修習
諸菩薩行速證無上正等菩提


9. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เรา
จงสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากข่ายแห่งมาร และ
เครื่องผูกพันของเหล่ามิจฉาทิฐิให้สัตว์เหล่านั้น ตั้งอยู่ในสัมมา
ทิฐิ และให้ได้บำเพ็ญโพธิสัตย์จริยาจนบรรลุพระโพธิ ญาณในที่สุด

第十大願。

願我來世得菩提時。若諸有情。王法所錄。縲縛鞭撻繫閉
牢獄或當刑戮。及餘無量災難凌辱悲愁煎迫。身心受苦。
若聞我名。以我福德威神力故。皆得解脫一切憂苦

10. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มี
สัตว์เหล่าใดถูกต้องพระราชอาญา ต้องคุมขัง รับทัณฑกรรมใน
คุกตะราง หรือต้องอาญาถึงประหารชีวิต ตลอดจนได้รับการข่ม
เหงคะเนงร้าย ดูหมิ่นดูแคลนเหยียดหยามอื่นๆ เป็นผู้มีอันคับ
แค้นเผาลนแล้ว มีใจกายอันวิปฏิสารอยู่ หากได้สดับนามแห่ง
เรา ได้อาศัยบารมี และคุณาภินิหารย์ของเรา ขอสัตว์เหล่านั้น
จงหลุดพ้นจากปวงทุกข์ดังกล่าว

第十一大願。

願我來世得菩提時。若諸有情。飢渴所惱。為求食故造諸
惡業。得聞我名專念受持。我當先以上妙飲食飽足其身。
後以法味。畢竟安樂而建立之


11. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มี
สัตว์เหล่าใดมีความทุกข์ด้วยหิวกระหายแล้ว ประกอบ
อกุศลกรรมเพราะเหตุแห่งอาหารไซร้ หากได้สดับนามแห่งเรา
มีจิตหมั่นตรึกนึกภาวนาเป็นนิตย์ เราจักประทานเครื่องอุปโภค
บริโภค อันประณีตแก่เขา ยังเขาให้อิ่มหนำสำราญแล้ว จัก
ประทานธรรมรสแก่เขาให้เราได้รับความสุข

第十二大願。

願我來世得菩提時。若諸有情。貧無衣服。蚊虻寒熱晝夜
逼惱。若聞我名專念受持。如其所好即得種種上妙衣服。
亦得一切寶莊嚴具華鬘塗香鼓樂眾伎。隨心所翫皆令滿足


12. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มี
สัตว์เหล่าใดที่ยากจน ปราศจากอาภรณ์นุ่งห่มอันความหนาว
ร้อน และเหลือบยุงเบียดเบียนทั้งกลางวันและกลางคืน หากได้
สดับนามแห่งเราและหมั่นรำลึกถึงเราไซร้ เขาจักได้สิ่งที่
ปรารถนาและจักบริบูรณ์ด้วยธนสารสมบัติ สรรพอาภรณ์ เครื่อง
ประดับและเครื่องบำรุงความสุขต่างๆ ฯลฯ

ครั้นแล้ว พระบรมศาสดาศากยมุนีพุทธเจ้า ตรัสต่อไปว่า
พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านี้ มีพระโพธิสัตว์ผู้ใหญ่ ๒ องค์ คือ พระ
สุริยไวโรจนะ และพระจันทรไวโรจนะ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ช่วย
ของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า

เบื้องปลายแห่งพระสูตรนั้น ทรงแสดงอานิสงส์ของ
การบูชาพระไภษัชยคุรุว่า


“ผู้ใดก็ดี ได้บูชาพระองค์ด้วยความเคารพเลื่อมใสแล้ว ก็
จักเจริญด้วย อายุ วรรณ สุข พละ ปราศจากภัยบีฑา ไม่ฝันร้าย
ศัสตรวุธทำอันตรายมิได้ สัตว์ร้ายทำอันตรายมิได้ โจรภัยทำ
อันตรายมิได้ ยาพิษทำอันตรายมิได้ ฯลฯ”


นอกจากนั้นทรงแสดงถึงพิธีจัดมณฑลบูชา พระไภษัช
ยคุรุ อีกด้วยว่า ต้องจัดพิธีมีเครื่องบูชาอย่างนั้นๆ และทรง
ประทานพระคาถาบูชา พระไภษัชยคุรุ ด้วยในเวลาตรัสพระ
คาถานี้ พระบรมศาสดาทรงประทับเข้าสมาธิชื่อ

“สรวสัตวทุกขภินทนาสมาธิ” ปรากฏรัศมีไพโรจน์ขึ้น
เหนือพระเกตุมาลา แล้วจึงตรัสพระคาถามหาธารณี ดังนี้

“นโม ภควเต ไภษชฺยคุรุ ไวฑูรฺยปรฺภาราชาย
ตถาคตยารฺทเต สมฺยกฺสมฺพุทฺธาย
โอมฺ ไภเษชฺเย ไภเษชฺย สมุรฺคเตสฺวาหฺ”


ครั้นตรัสพระมหาธารณีนี้แล้ว พสุธาก็กัมปนาทหวาดไหว
แสงสว่างอันโอฬารก็ปรากฏ สัตว์ทั้งปวงก็หลุดพ้นจากสรรพ
พยาธิ บรรลุสุขสันติอันประณีตแล้ว พระบรมศาสดา จึงตรัสว่า

“ดูก่อนมัญชุศรี ถ้ามีกุลบุตร กุลธิดาใด อันพยาธิทุกข์
เบียดเบียนแล้ว ถึงตั้งจิตให้เป็นสมาธิ แล้วนำพระมหาธารณีบท
นี้ ปลุกเสกอาหารหรือยา หรือน้ำดื่มครบ ๑๐๘ หน แล้วดื่มกิน
เข้าไปเถิด จักสามารถดับสรรพปวงพยาธิได้ ฯลฯ”

สมันตภัทรจริยาปณิธานปริวรรต

สมันตภัทรจริยาปณิธานปริวรรต
                                 คำนำ

สมันตภัทรจริยาปณิธานปริวรรต
อวตังสกคัณฑวยูหสูตร




สมันตภัทรจริยาปณิธานปริวรรต ” นี้เป็นส่วนแห่ง
“ อวตังสกคัณฑยูหสูตร ” กล่าวคือ เป็นปัจฉิมบท
หรือตอนสุดท้ายแห่งพระสูตรดังกล่าว“ สมันตภัทรจริยา
ปณิธานปริวรรต ” เป็นคัมภีร์ประกอบด้วยพรรณนาโวหารอัน
เป็นร้อยแก้วในส่วนต้น และคาถาที่เป็นร้อยกรองในส่วน
ปลาย โดยต้นฉบับเดิม ทั้งสันสกฤต และภาษาจีนได้คงประ
พันธลักษณ์ในรูปแบบนี้ไว้เหมือนกัน

“ อวตังสกสูตร ” พระสูตรนี้เกิดขึ้นจากพระพุทธดำรัสเมื่อ
ตรัสรู้ หากลุ่มลึกเกินกว่าเวไนยนิกรสมัยพุทธกาลจะเข้าใจได้
จึงมาปรากฎความขึ้นเมื่อพุทธปรินิพพานล่วงแล้วไปได้ราว
500 ปี แล้วแปลออกเป็นภาษาจีนอีก 300 ปีต่อแต่นั้นมา
พระสูตรนี้มีถ้อยคำอุปมาที่สำคัญอันว่าด้วย ข่ายของพระ
อินทร์ (ท้าวสักกะ) ซึ่งถักไว้ด้วยมณีรัตนะต่างๆ แต่ละเมล็ด
สะท้อนให้เห็นแสงของกันและกัน เป็นการโยงทาง ปัจจยา
การ หรือ อิทัปปัจยตาของสรรพสิ่งในสกลจักรวาล ซึ่งอยู่ใน
เครือข่าย หรือแหของพระอินทร์ (จะเรียกว่า “ อินทรชาล
สูตร ” โดยเปรียบเทียบกับ “ พรหมชาลสูตร ”) ของเถรวาท
เราก็ได้เพราะคำว่า “ ชาล ” ก็คือ ร่างแหนั้นแล

“ อวตังสกสูตร ” เก็บความอย่างละเอียด แต่ย่อยสุดไป
จนใหญ่สุด และในทุกอณูมีพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์เจ้า
ปรากฎอยู่ด้วยเสมอไป พระสูตรเริ่มจากการพรรณนาถึงภาวนา
วิธี ที่กระทำได้ทุกๆ วันของทุกๆ คน ก่อนเข้าถึง “ อวตังสก ”
หรือ ดอกไม้อันประดับ อย่างเป็นเลิศ อันได้แก่ “ พระไวโรจน
พุทธ ซึ่งก็คือพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
ในสกลจักรวาล หรือ จะกล่าวว่า พระไวโรจนพุทธ ก็คือ สกล
จักรวาล นั้นเอง ”พระไวโรจนพุทธ ทรงแสดงออกซึ่งพุทธ
ภาวะ อันได้ก่อสัจภาวะของธรรมชาติ

หากกระจายและขยายความออกไปเป็นพระโพธิสัตว์ต่าง
ๆ เช่น พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ซึ่งทรงแสดงออกซึ่งการ
กระทำทุก ๆ อย่าง “ อวตังสกสูตร ” นี้ เน้นที่พระไวโรจนพุทธ
และพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ แล้วจึงอธิบายว่าด้วยทศภูมิกะ
หรือการเจริญโพธิสัตว ธรรมบารมีเป็นขั้น ๆ ทั้ง 10 ขั้น
บทสุดท้ายของพระสูตร มีชื่อว่า “ คัณฑวยูหสูตร ” ซึ่งนับว่า
ยาวที่สุด และแบ่งเป็น 39 ตอน ทางเมืองจีนเน้นบทนี้เป็นที่
ยิ่ง กล่าวพรรณนา

ว่าด้วยการเข้าถึงเมืองแก้ว อันกล่าวแล้วคือ ดินแดนซึ่ง
เป็นสัตยะ ด้วยการเล่าถึงบุญจาริกของท่านสุธน ซึ่งพระ
โพธิสัตว์มัญชุศรีส่งให้ไปแสวงหาสัจธรรม ท่านสุธนไปแสวง
หาครูอาจารย์ถึง 53 ท่าน จากวิถีชีวิตต่าง ๆ จนในที่สุด
ท่านสุธนไปพบพระศรีอารยเมตไตรย์โพธิสัตว์ ซึ่งชี้ให้ดูหอ
ใหญ่ หมายความว่าหอนี้รวมภูมิปัญญาของพระโพธิสัตว์ไว้
จนท่านเข้าใจสกลจักรวาล ท่านสุธนเข้าไปยังหอใหญ่ที่ว่านี้
แล้วไปพบหอใหญ่อื่นๆ อีกมาก

ทั้งยังไปค้นพบด้วยว่าพระศรีอารยเมตไตรย์นั้น ได้บรรลุ
ธรรมถึงที่สุดในโลกต่าง ๆ มามากแล้ว หากยังคงอธิษฐาน
โพธิสัตวธรรมบารมีรอเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไป
เพื่อคอยช่วยเหลือสรรพสัตว์

แต่ละหอที่ท่านสุธนค้นพบ ล้วนกว้างขวางอย่างไพศาล
มีเนื้อที่ที่รวมเอาเนื้อที่ของหออื่น ๆ เข้ามาด้วย จนไม่รู้จักจบ
สิ้น ในที่สุดพระศรีอารยเมตไตรย์โพธิสัตว์ทรงส่งท่านสุธน
กลับไปหาพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ เพื่อไปเรียนรู้เพิ่มเติม แต่แล้ว
พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ก็เพียงตบศีรษะท่านสุธน ให้ท่านกลาย
สภาพไปเป็นพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ภายในเสี้ยวเวลา 52
วินาที .................นี้แลคืออวสานของพระสูตร

ชื่อพระสูตรว่า “ อวตังสก ” นี้ กลายเป็นนิกายหนึ่ง
ของมหายานในเมืองจีน ซึ่งสอนพุทธปรัชญาอย่างลึกซึ้ง
ด้วยการแปลภาวนาวิธีต่างๆ ให้เกิดการตื่นขึ้นจากการบีบรัด
ของกองกิเลส จนหลายคนเห็นกันว่านิกายนี้ ในเมืองจีนเป็น
จุดสุดยอดของปรัชญามหายาน ซึ่งเน้นในเรื่อง “ ปัจจายา
การ ” อันนำมาใช้ได้กับปัญหาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
เป็นเหตุให้พวกนิเวศวิทยาสมัยใหม่ของฝรั่งหันมาสนใจพระ
สูตรนี้และนิกายนี้กันเป็นอันมาก

คำปรารมภ์

“ สมันตภัทรจริยาปณิธานปริวรรต ”
จาก อวตังสกคัณฑวยูหสูตรนั้น นับเป็นพระสูตรสำคัญในฝ่าย
พระพุทธศาสนามหายาน โดยในอดีตถือเป็นวัตรปฏิบัติที่จัก
ต้องสาธยายพระสูตรนี้ แม้ในการประกอบพิธีกรรม หรือพุทธ
ประเพณีส่วนใหญ่ก็มักอ้างอิงถึง โดยเฉพาะในการถวายพุทธ
บูชา และในการศึกษาพระธรรม ทั้งนี้ เพื่อขอพึ่งพระบารมี
พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ผู้ทรงปณิธานและจริยาวัตรอัน
ประเสริฐ สืบเนื่องถึงปัจจุบัน พระสูตรนี้จักหาผู้ที่มีศรัทธา
สาธยายได้น้อยลงทุกที เนื่องด้วยเป็นพระสูตรที่ค่อนข้างยาว
และใช้ภาษาที่ลุ่มลึกยากแก่การสวดท่อง มิได้กว้างขวางเช่น
พระสูตรอื่นอย่าง “ สุขาวดีสูตร ” หรือ “ สัทธรรมปุณฑริก
สูตร ”

นอกจากนี้ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ แม้จะปรากฎพระ
นามเป็นพระโพธิสัตว์องค์สำคัญในฝ่ายมหายาน แต่ก็ไม่เป็นที่
แพร่หลายในหมู่ศาสนิกชนทั่วไป เป็นเหตุให้พระสูตรที่กล่าว
ถึงพระมหาโพธิสัตว์พระองค์นี้ไม่เป็นที่นิยมกันอย่างกว้าง
ขวาง คงมีการสวดสาธยายกันในหมู่พุทธศาสนิกชนกลุ่ม
น้อย

คำแปล สมันตภัทรจริยาปณิธานปริวรรต
อวตังสกคัณฑวยูหสูตร


เมื่อนั้นพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ได้สดับพระธรรมเทศนา
อันพระผู้มีพระภาคทรงสำแดงงดงามแล้ว บังเกิดความปิติชื่น
ชมในพระผู้มีพระภาค และพระธรรม จึงได้ตรัสคาถาสดุดี
พระพุทธบารมีแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า และตรัสแก่พระโพธิสัตว์
ทั้งปวง พระสุธนกุมาร พระอริยสาวกทั้งปวง ภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกา สามเณร ซึ่งได้สดับพระธรรมเทศนาอยู่
ณ ที่นั้น ( ณ ที่นั้น ผู้ที่ได้สดับพระสมันตภัทรโพธิสัตว์
มีมากมายมิอาจประมาณได้ มีปัญญาแตกต่างกันไป แต่ในที่
นี้พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ทรงตรัสแก่พระสุธนกุมารด้วยเป็นผู้
มีปัญญาเฉียบแหลม และมีบุญญธิการมาก )

พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ทรงตรัสว่า ...........

ดูกร ท่านผู้เจริญ พุทธบารมีแห่งพระพุทธเจ้านั้นมีมากมายยิ่ง
นัก หากว่าพระพุทธเจ้าในทศทิศ ตรัสสรรเสริญพระพุทธเจ้า
องค์อื่นแต่ละองค์ต่อกันไป ซึ่งมีอยู่จำนวนมากมายประดุจ
ละอองเกษตรอันมิอาจประมาณได้ เหลือที่จะพรรณนา
หากผู้ใดตั้งปณิธานจักบำเพ็ญบารมีตามเสด็จพระพุทธองค์
แล้ว พึงตั้งปณิธาน และปฏิบัติดังนี้

ปณิธานข้อที่ 1 เคารพบูชาพระพุทธเจ้าทั้งปวง
ปณิธานข้อที่ 2 สรรเสริญพระตถาคตทั้งปวง
ปณิธานข้อที่ 3 ถวายบูชาแด่พระตถาคตทุกพระองค์
ปณิธานข้อที่ 4 ขมาอกุศลกรรมทั้งปวง
ปณิธานข้อที่ 5 อนุโมทนากุศลทั้งหลาย
ปณิธานข้อที่ 6 ทูลอาราธนาให้ทรงแสดงพระธรรม
ปณิธานข้อที่ 7 อาราธนาให้ประทับอยู่ในโลกต่อไป
ปณิธานข้อที่ 8 ขอศึกษาพระธรรมให้เจนจบ
ปณิธานข้อที่ 9 ขออนุโลมตามสรรพสัตว์
ปณิธานข้อที่ 10 ขออุทิศกุศลทั้งมวลแก่สรรพสัตว์


พระสุธนกุมารได้ทูลถามขึ้นว่าพระมหาอริยะจักพึงปฏิบัติ
อย่างไรตามมหาปณิธานทั้ง 10 ประการนั้น

พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ทรงอธิบายดังนี้:-

ปณิธานข้อที่ 1 เคารพบูชาพระพุทธเจ้าทั้งปวง


กุลบุตรทั้งหลาย ในการเคารพบูชาพระพุทธเจ้านั้นจะต้องเป็น
การเคารพบูชา อันประกอบด้วยกาย วาจา และใจ (อันแน่ว
แน่ และบริสุทธิ์เปี่ยมด้วยความตั้งใจ) ที่สมบูรณ์ พระพุทธเจ้า
ที่พึงเคารพบูชานั้นมีจำนวนมากมายมหาศาล (เกินสติปัญญา
ของมนุษย์จักประมาณได้) ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
อาศัยปณิธานของข้าพเจ้า (พระสมันตภัทร) ข้าพเจ้าเชื่อโดย
ปราศจากข้อกังขาใด ๆ ประดุจดังพระพุทธเจ้าทั้งปวงเสด็จมา
ปรากฎอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักอภิวาทบูชาด้วยกาย
วาจา และใจที่แน่วแน่ บริสุทธิ์ และจักเคารพบูชาเช่นนี้ตลอด
ไป ในแต่ละพุทธเกษตรอันมีจำนวนมากมายประมาณมิได้
จักปรากฎกายของข้าพเจ้าขึ้นในทุกสถานที่ ไร้ซึ่งขอบเขต
และทุกกายจักอภิวาทบูชาพระพุทธเจ้าอันมีจำนวนประมาณมิ
ได้เช่นกัน ข้าพเจ้าจักเคารพบูชาสืบไปไม่หยุดหย่อน และการ
บูชาของข้าพเจ้าก็จักไม่มีวันสิ้นสุด

ปณิธานข้อที่ 2 สรรเสริญพระตถาคตทั้งปวง

กุลบุตรทั้งหลาย การถวายสรรเสริญพระพุทธเจ้านั้น
(สรรเสริญการบำเพ็ญบารมี พระพุทธคุณ พระมหากรุณาต่อ
สรรพสัตว์) ในโลกแห่งความว่างเปล่าแห่งนี้ (ครอบคลุมทั้ง
จักรวาล) บนผืนแผ่นดิน ในทศทิศตลอดทั้งสามภพ มีจำนวน
พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มากมายมหาศาล เกินกว่ามนุษย์
จะจินตนาการได้ อีกทั้งสรรพสัตว์ล้วนมีอกุศลกรรมขวางกั้น
มิให้ได้เห็นพระพุทธเจ้าได้สดับพระสัจธรรม ข้าพเจ้าเชื่อโดย
ปราศจากข้อสงสัยในสิ่งที่ข้าพเจ้า (พระสมันตภัทร) ได้เห็นถึง
จำนวนพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ อันมิอาจประมาณได้
เกินปัญญาของสรรพสัตว์จะหยั่งรู้ได้ คำสรรเสริญของพระ
พุทธเจ้านั้นเป็นคำสรรเสริญอัน (ประดุจ) ออกมาจากพระ
โอษฐ์ของพระสุรัสวดี อันสามารถเปล่งเสียงอันไพเราะได้นับ
ไม่ถ้วน ในแต่ละเสียงล้วนประกอบด้วยคำสรรเสริญพระ
พุทธเจ้าอีกนับไม่ถ้วน สรรเสริญพระพุทธคุณ พระพุทธ
บารมี การสรรเสริญนั้นไม่มีหยุดหย่อน และจะสรรเสริญพระ
พุทธเจ้าไปทั่วโลกธาตุทั้งหลายโดยจะไม่มีวันหยุดหย่อน

ปณิธานข้อที่ 3 ถวายบูชาแด่พระตถาคตทุกพระองค์


กุลบุตรทั้งหลาย การบำเพ็ญเพียรเพื่อถวายบูชาแด่พระ
พุทธเจ้า (ในโลกแห่งความว่างเปล่า มีพระพุทธเจ้าอยู่มาก
มาย…) โดยอาศัยบารมีมหาปณิธานแห่งพระสมันตภัทร
ข้าพเจ้า (พระสมันตภัทร) เชื่อโดยปราศจากข้อกังขา ในการ
ถวายบูชาพระพุทธเจ้านั้นต้องเลือกสิ่งที่ดีเลิศที่สุด งดงามที่
สุด บริสุทธิ์ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ดนตรี ฉัตร แพร
พรรณ มาลา เครื่องสุคนธ์ ธูป ผงจันทร์ และบูชาด้วย
ประทีปสารพัด เช่น ประทีปน้ำมันเนย ประทีปน้ำมันหอม
และประทีปน้ำมันธรรมดา แต่ละอย่างต้องดีเลิศที่สุด และมี
จำนวนมากมายมหาศาลประดุจเขาพระสุเมรุ ประดุจเมฆใน
ท้องฟ้า เพื่อเป็นการถวายบูชาพระพุทธเจ้าซึ่งมีจำนวน
มหาศาล ในทศทิศตลอดทั้งสามภพ การบูชาดังกล่าวข้าง
ต้น ข้าพเจ้าจะบูชาพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา

กุลบุตรทั้งหลาย การถวายบูชาด้วยพระธรรมคำสั่งสอน คือ
การปฏิบัติ นั้นเลิศที่สุด การปฏิบัตินั้นมีอยู่ 7 ประการคือ

1. การบำเพ็ญเพียรตามคำสอน
2. เมื่อปฏิบัติตามคำสอนก็จะบังเกิดกุศลและบารมี
และใช้กุศลและบารมีนั้นโปรดสรรพสัตว์เพื่อประโยชน์สุข
แก่สรรพสัตว์
3. จงมีเมตตาจิตต่อสรรพสัตว์ที่ต้องเผชิญความทุกข์
โดยการยอมรับ ช่วยเหลือ สั่งสอน
4. ยอมรับทุกข์แทนสรรพสัตว์ ถือเป็นการเสียสละ มี
เมตตาธรรม
5. บำเพ็ญเพียรโดยไม่ย่อท้อ
6. ยังกิจแห่งพระโพธิสัตว์ให้สมบูรณ์
(กระทำตนเพื่อเป็นประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์อยู่เป็นนิตย์)
7. ยังโพธิจิตให้สมบูรณ์ หมั่นบำเพ็ญเพียร อาศัยโพธิจิตนี้
สรรพสัตว์จึงจักเข้าสู่พุทธภูมิได้

ทั้ง 7 ประการนี้คือการปฏิบัติเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

กุลบุตรทั้งหลาย การบูชาด้วย “ อามิสบูชา ” ถึงแม้จะได้กุศล
มากมาย หากแต่เทียบไม่ได้เลยกับการบูชาด้วย “ การ
ปฏิบัติ ” “อามิสบูชา” นั้นเทียบได้เพียง 1 ใน 100 1
ใน 1,000 เท่ากับฝุ่นละอองในโลกเท่านั้นเอง

เนื่องจากว่า พระพุทธเจ้าทั้งปวงทรงเคารพพระสัทธรรม
พระธรรมเป็นมรรคสู่พุทธภูมิ พระพุทธเจ้าทรงดำเนินตามมรรค
แห่งพระธรรมนั้น ดังนั้น หากสรรพสัตว์ปฏิบัติตามพระธรรม ก็
จะบรรลุถึงพุทธภูมิ หากพระโพธิสัตว์ทั้งหลายปฏิบัติตามพระ
ธรรมถวายเป็นพุทธบูชา แล้วบรรลุมรรคผลก็นับเป็นพุทธบูชา
อย่างหนึ่ง ดังนั้น การปฏิบัติบูชาจึงนับเป็นการบูชาที่แท้จริง
การบูชาที่เป็นมหากุศลทั้งด้วยอามิส และการปฏิบัติ จะบูชาสืบ
ไปโดยไม่มีหยุดหย่อน…

ปณิธานข้อที่ 4 ขมาอกุศลกรรมทั้งปวง


กุลบุตรทั้งหลาย เนื่องจากสรรพสัตว์ทั้งปวงตกอยู่ในความ
ทุกข์ ความโลภ โกรธ หลง เป็นเหตุให้ก่ออกุศลกรรมขึ้นมาก
มาย ผลแห่งกรรมนั้นก่อให้สรรพสัตว์ได้รับทุกข์ สืบไปเป็น
วัฏจักรเช่นนี้ ดังนั้นการขอขมากรรมจึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการ
ไม่ก่ออกุศลกรรม การขอขมาอกุศลกรรมทั้งปวงนั้น (โดยการ
สำนึกในอกุศลกรรมที่ได้กระทำลงไป และพึงระวังมิให้กระทำ
ซ้ำอีก และจักเพียรสร้างกุศลกรรมทดแทนสืบไป) ข้าพเจ้า
(พระสมันตภัทร) ก็เคยก่ออกุศลกรรมมามากมาย บัดนี้
ข้าพเจ้าได้กำจัดทุกข์ กรรม และผลของกรรมได้โดยสิ้นเชิง
แล้ว เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งปวง พระโพธิสัตว์ทั้ง
หลาย ข้าพเจ้าได้แสดงอาบัติขอขมากรรมทั้งปวง ชำระซึ่ง
ความโลภ โกรธ หลง ความทุกข์ กรรม และผลของกรรม
จักไม่มีแก่ข้าพเจ้า และจักละอกุศลกรรมนั้นเสีย จักเพียร
สร้างกุศลกรรมทั้งปวงสืบไป บัดนี้ข้าพเจ้าขอขมาอกุศลกรรม
ทั้งปวง (เป็นการตั้งปณิธานอันแน่วแน่ว่าจักละอกุศลกรรมทั้ง
ปวง) ตลอดไปไม่มีหยุดหย่อน

ปณิธานข้อที่ 5 อนุโมทนากุศลทั้งหลาย


กุลบุตรทั้งหลาย การอนุโมทนากุศลทั้งปวงนั้น เพื่อเป้าหมาย
แห่งการสั่งสมมหากุศลกรรมอันยิ่งใหญ่ เริ่มจากการตั้งจิตที่
แน่วแน่ พากเพียรบำเพ็ญตน ละเลยแล้วซึ่งตนเอง แม้กาล
จะผ่านมานานนักมิอาจประมาณได้ด้วยกัลป์ ในแต่ละกัลป์ได้
เสียสละร่างกาย และชีวิตตน เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์
การบำเพ็ญเพียรทั้งปวงในข้างต้น ไม่ว่าจะยากลำบากเพียง
ใด เพื่อบรรลุถึงบารมีต่างๆ ได้เข้าสู่โพธิสัตว์ภูมิ บรรลุมรรค
ผล บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ บรรลุนิพพาน บรรลุถึง
ธรรมธาตุทั้งปวง ข้าพเจ้า (พระสมันตภัทร) ขอแสดงมุทิตา
จิต และขออนุโมทนากุศลด้วย ทุกโลกธาตุในทศทิศ สรรพ
สัตว์ทั้ง 6 ภูมิ ทั้ง 4 กำเนิด กุศลกรรมทั้งปวง แม้จะเล็ก
น้อย ข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนาด้วยในทศทิศ ตลอดจนทั้งสาม
ภพ พระสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวง พระโพธิสัตว์ทั้ง
หลายที่ได้บำเพ็ญบารมีด้วยความยากลำบาก เพื่อบรรลุถึง
โพธิญาณมหากุศลอันใหญ่หลวงนี้ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาด้วย
ข้าพเจ้าจักขออนุโมทนากุศลเช่นนี้สืบไปโดยไม่หยุดหย่อน

ปณิธานข้อที่ 6 ทูลอาราธนาให้ทรงแสดงพระธรรม


กุลบุตรทั้งหลาย ด้วยเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม
สรรพสัตว์จึงสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ เป็นอิสระจาก
สังสารวัฏอันยาวไกล ดังนั้น ผู้ที่ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้
ทรงแสดงพระธรรมนั้น จึงมีอานิสงส์ยิ่งนักด้วยกาย วาจา
ใจ ข้าพเจ้า (พระสมันตภัทร) ตั้งจิตทูลเชิญขอพระพุทธองค์
ทรงแสดงพระธรรม เพื่อสรรพสัตว์ทั้งปวง (กาย: คุกเข่า
นมัสการ, วาจา: สรรเสริญ ทูลเชิญ, ใจ: ด้วยใจ
บริสุทธิ์ แน่วแน่ ไม่ย่อท้อ) ข้าพเจ้าจักทูลอาราธนาขอพระ
พุทธเจ้าทั้งปวงทั่วทศทิศตลอดจนสามภพ ทรงแสดงพระธรรม
เช่นนี้สืบไปไม่มีหยุดหย่อน

ปณิธานข้อที่ 7 อาราธนาให้ประทับอยู่ในโลกต่อไป


กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ที่ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้อยู่ในโลกนี้
ต่อไป เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากความทุกข์
และเพื่อประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์นั้น จึงมีอานิสงค์ยิ่งนัก
ข้าพเจ้า (พระสมันตภัทร) จักทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าทรง
ดำรงพระชนม์อยู่ในโลกนี้ต่อไป ทั่วทศทิศตลอดจนสามภพ
ที่มีพระพุทธเจ้าจำนวนมากมายกำลังเสด็จเข้าสู่นิพพาน
ตลอดจนพระโพธิสัตว์ พระสาวก และผู้ทรงปัญญาทั้งปวง
ข้าพเจ้าขอทูลเชิญ ข้าพเจ้าขออาราธนาอย่าเพิ่งเข้าสู่พระ
นิพพาน ขอจงประทับอยู่ในโลกนี้ต่อไป เพื่อประโยชน์สุขแก่
สรรพสัตว์ ข้าพเจ้าจักทูลอาราธนาเช่นนี้สืบไปไม่มีหยุดหย่อน

ปณิธานข้อที่ 8 ขอศึกษาพระธรรมให้เจนจบ


กุลบุตรทั้งหลาย การศึกษาพระธรรมให้เจนจบ โดยขอบำเพ็ญ
บารมีตามรอยพระพุทธบาท (พระพุทธเจ้าทรงศึกษาพระธรรม
และบำเพ็ญเพียรจนบรรลุโพธิญาณ ดังนั้นสรรพสัตว์ทั้งปวงจึง
สมควรเจริญรอยตามรอยพระพุทธบาท เพื่อหลุดพ้นจาก
วัฏสงสาร หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง) ข้าพเจ้า (สมันตรภัทร)
จักขอศึกษาพระธรรมให้เจนจบดั่งพระพุทธองค์ และจักขอ
ดำเนินตามรอยพระพุทธบาทที่ทรงบำเพ็ญบารมีมา ไม่ว่าจะ
ยากลำบากสักเพียงใดก็มิได้ย่อท้อ จนบรรลุถึงโพธิญาณ สืบ
ไปโดยไม่หยุดหย่อน

ปณิธานข้อที่ 9 ขออนุโลมตามสรรพสัตว์


เนื่องจากว่าสรรพสัตว์นั้นมีนิสัย จริต ต่างกันไป พระ
พุทธเจ้าทรงมีพระมหาเมตตากรุณาที่จะโปรดสรรพสัตว์
ทรงมีกุศโลบายในการโปรดสรรพสัตว์ให้เหมาะสมกับอุปนิสัย
กุลบุตรทั้งหลาย จงปฏิบัติอนุโลมสรรพสัตว์ด้วยความเสมอ
ภาค จึงจะบรรลุเมตตาจิตโดยสมบูรณ์ อาศัยเมตตาจิตนี้ จง
อนุโลมตามสรรพสัตว์ทั้งปวง จึงจะเป็นการบรรลุผลอัน
ไพบูลย์ เพื่อเป็นพุทธบูชา ในโลกแห่งความว่างเปล่านี้ตลอด
จนทั้งสิบทิศ มีสรรพสัตว์มากมายที่บังเกิดจาก ไข่ เกิดเป็น
ตัว เกิดในน้ำ เกิดจากการจำแลงกาย เกิดจากมหาภูต
4 (ดิน น้ำ ลม ไฟ) ตลอดจนพวกที่อาศัยอยู่ใน
เทวโลก บาดาล ทั้งที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ สรรพสัตว์
ต่างๆ ทั้งปวง ข้าพเจ้า (พระสมัตรภัทร) จักปฏิบัติต่อสรรพ
สัตว์ทั้งหลาย ดุจดังข้าพเจ้าปฏิบัติต่อ มารดา บิดา อาจารย์
พระอรหันต์ พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าจะเป็นดั่งโพธิสัตว์ ผู้
บำเพ็ญกิจเพื่อประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง หากพระ
โพธิสัตว์สามารถยอมอนุโลมเพื่อสรรพสัตว์ ก็ประดุจดั่งการ
ถวายบูชาพระพุทธเจ้า หากสรรพสัตว์เคารพโพธิกิจอันงดงาม
นี้ ก็ประดุจดังการถวายบูชาแด่พระพุทธเจ้า เปรียบประดุจใน
ผืนแผ่นดินอันอุดมไปด้วยกรวดและทราย มีไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
หากรากได้สัมผัสถึง น้ำ กิ่ง ใบ และผลก็จะงอกงามดี ฉัน
ใด ในสังสารวัฏแห่งนี้ “ โพธิจิต ” ก็ประดุจดังต้นไม้ใหญ่

“ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ” ก็คือ รากของต้นไม้ "

พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ ” ก็คือ ผล อาศัยทิพยวารี
แห่งมหาเมตตากรุณาหลั่งรดลงเหนือสรรพสัตว์ ก็จะบรรลุถึง
พระปัญญาอันล้ำเลิศ แห่งพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ทั้ง
ปวง

หากพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเปี่ยมด้วยเมตตา โปรดสรรพ
สัตว์ให้พ้นทุกข์ ก็ย่อมบรรลุสู่พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
(ซึ่งเป็นโพธิกิจที่ต้องบำเพ็ญ) ด้วยเหตุนี้โพธิจึงเป็นของสรรพ
สัตว์ หากไม่มีสรรพสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็จะไม่สำเร็จ
มรรคผล เข้าสู่พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายทรงอนุโลมตาม
สรรพสัตว์เช่นนี้ ข้าพเจ้าจักอนุโลมตามสรรพสัตว์เช่นนี้สืบ
ไป ไม่หยุดหย่อน

ปณิธานข้อที่ 10 ขออุทิศกุศลทั้งมวลแก่สรรพสัตว์


กุลบุตรทั้งหลาย การอุทิศกุศลแด่สรรพสัตว์ จากปฐมปณิธาน
คือ การเคารพบูชาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จนบรรลุถึงปณิธาน
แห่งการอนุโลมตามสรรพสัตว์ กุศลทั้งปวงอันข้าพเจ้า (พระ
สมันตภัทร) ได้บำเพ็ญแล้ว ขออุทิศแด่สรรพสัตว์ทั้งปวง ขอ
สรรพสัตว์ทั้งปวงจงประสบสันติ ปราศจากโรคภัย ขอกุศลนี้
จงปิดทางแห่งอกุศลทั้งปวง จงเป็นปัจจัยไปสู่พระนิพพาน

หากสรรพสัตว์เหล่าใดหลงผิดไปสู่ทางอธรรม ขอจงกลับใจ
ขอสรรพสัตว์ที่สั่งสมบุญ จงบรรลุมรรคผลในเร็ววัน

หากสรรพสัตว์ใดสั่งสมอกุศลกรรมไว้ ต้องรับทุกขเวทนาอย่าง
แสนสาหัส ข้าพเจ้าขอแบกรับทุกข์นั้นแทน ขอสรรพสัตว์ทั้ง
ปวงจงหลุดพ้นจากทุกข์ บรรลุสู่โพธิญาณอันประเสริฐ

พระโพธิสัตว์ทั้งหลายทรงบำเพ็ญมีประมาณเช่นนี้ ข้าพเจ้าขอ
อุทิศกุศลทั้งปวงแด่สรรพสัตว์สืบไปเช่นนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง

อานิสงส์ของการสวดสมันตภัทรจริยาปณิธานปริวรรต
อวตังสกคัณฑวยูหสูตร


กุลบุตรทั้งหลาย นี้คือมหาทศปณิธาน แห่งพระสมันตภัทร
อันเป็นปณิธานที่เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ หากพระโพธิสัตว์สามารถ
ปฏิบัติตาม มหาปณิธานนี้ได้ ย่อมสามารถช่วยโปรดสรรพ
สัตว์ให้บรรลุถึง พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สามารถปฏิบัติ
มหาปณิธานแห่งพระสมันตภัทรได้โดยสมบูรณ์

หากมีกุลบุตร กุลธิดา บริจาครัตนมณีอันมีค่าทั้ง 7 สิ่ง เช่น
ทอง เงิน ไพฑูรย์ แก้วผลึก บุษราคัม ทับทิม พลอยแดง
หรือสิ่งของที่ค่าทั้งปวง อันเป็นที่ปรารถนาแห่งมนุษย์ทั้ง
หลาย ออกบริจาคแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อถวายเป็นพุทธ
บูชาแด่พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ทั้งปวง ถวายทาน และ
กระทำบูชาเช่นนี้นับกัลป์ มิให้ขาด ย่อมบังเกิดกุศลยิ่งนัก
หากผู้ใดเพียงได้สดับมหาปณิธานนี้ ย่อมบังเกิดอานิสงส์มาก
มายยิ่งกว่า การบริจาคทานเบื้องต้นยิ่งนัก เป็นร้อยพันเท่าทวี
ขึ้น

หากผู้ใดมีจิตศรัทธาในมหาปณิธานนี้ ได้กระทำสาธยายจารึก
หรือ คัดลอกพระสูตรนี้ ก็สามารถหลุดพ้นจากอนันตริยกรรม
ทั้ง 5 ปราศจากโรคาพาธทั้งปวง ทุกข์ภัยทั้งหลาย
อกุศลกรรมทั้งหลายที่สั่งสมมา ปีศาจ อสูร รากษส
กุมภัณฑ์ อันดุร้าย ภูตผี และเทวมาร ก็จักหลีกหนีไป

หากมีจิต ปรารถนาจักจดจำ ปฏิบัติ เข้าใจ ปกป้องรักษา
พระสูตรนี้ ได้กระทำบูชาสาธยายมหาปณิธานนี้ ย่อมเป็น
อิสระจากอุปสรรคทั้งหลายในโลกนี้ ดุจพระจันทร์บนฟากฟ้าที่
เป็นอิสระจากเมฆ หมอก ราคี พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์
ทั้งหลายทรงสรรเสริญว่า มนุษย์ทั้งหลายพึงเคารพบูชา
สรรพสัตว์ทั้งหลายพึงเคารพบูชา จักบังเกิดเป็นมนุษย์เปี่ยม
ด้วยบารมี ประดุจดั่งพระสมันตภัทร บรรลุโพธิญาณตาม
เสด็จพระสมันตภัทร มีกายอันวิสุทธิ์ปรากฏมหาปุริสลักษณะ
ทั้ง 32 ประการ

หากบังเกิดเป็นมนุษย์ จักบังเกิดเป็นผู้เปี่ยมศักดิ์ บังเกิดใน
ตระกูลสูงส่ง อาจทำลายสิ่งชั่วร้ายอกุศลทั้งปวง จักห่างไกล
จากมิตรอันเป็นทุรชน สามารถสยบพวกเดียรถีร์ หลุดพ้นจาก
ทุกข์ทั้งปวง ประดุจพระยาราชสีห์ ผู้อาจสยบสัตว์ทั้งปวง
เป็นผู้ได้รับความเคารพบูชาจากสรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อใกล้
กาลมรณะ พระสมันตภัทรจะเสด็จมาประทับอยู่เบื้องหน้าผู้นั้น
และนำไปสู่สุขาวดีพุทธเกษตร ได้นมัสการพระอมิตภ
พุทธเจ้า พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์
พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ พระ
มหาโพธิสัตว์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระสิริสง่างาม เปี่ยมด้วยพระ
บารมีอันบริบูรณ์ประทับอยู่แทบบาท (พระอมิตาภพุทธเจ้า)
ผู้นั้นจะบังเกิดในปทุมชาติ เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์จากพระ
ตถาคตเจ้าแล้ว จักดำเนินผ่านโลกานุโลก อันนับไม่ถ้วนนับ
ด้วยกัลป์ อาศัยอานุภาพแห่งปัญญาบารมี เกื้อกูลสรรพสัตว์
ได้บรรลุถึงโพธิญาณ สยบมารทั้งหลาย ตรัสรู้พระอนุตรสัมมา
สัมโพธิญาณ เคลื่อนกงล้อพระธรรมจักร โปรดสรรพสัตว์ใน
พุทธเกษตรทั้งปวงให้บังเกิดโพธิจิต สั่งสอนสรรพสัตว์
โดยมหากุศโลบาย ตลอดถึงกัลป์ในอนาคตกาล ก็จักทำ
ประโยชน์เกื้อกูลสรรพสัตว์

กุลบุตรทั้งหลาย หากสรรพสัตว์ได้สดับ และบังเกิดศรัทธาใน
มหาปณิธานนี้ บำเพ็ญและสาธยายประกาศแด่ชนทั้งมวล จัก
บังเกิดกุศลจนมิอาจประมาณได้ เกินสติปัญญาสรรพสัตว์จะ
หยั่งรู้ เว้นแต่อาศัยพุทธปัญญาแห่งพระตถาคตเจ้าจึงอาจหยั่ง
รู้ กุลบุตรทั้งหลาย เมื่อได้สดับพระมหาปณิธานนี้แล้ว จง
อย่าบังเกิดข้อกังขา พึงน้อมรับ สาธยายและนำไปปฏิบัติ คัด
ลอกประกาศแด่สรรพสัตว์ทั่วไป เมื่อมีการสาธยายและปฏิบัติ
ตามมหาปณิธานนี้ จักบรรลุถึงโพธิญาณ บังเกิดอานิสงส์มิ
อาจประมาณได้ สามารถโปรดสรรพสัตว์ให้ก้าวพ้สังสารวัฏ
ไปบังเกิดในสุขาวดีภพ นมัสการพระอมิตาภพุทธเจ้าผู้ทรง
การุณย์


วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

จิตหลังอาสัญกาล

ิตหลังอาสัญกาล
โดย พระภาวนาวิสุทธิคุณ
๒๓ เม.ย. ๓๕
ในปัจจุบันแม้โลกจะมีความเจริญทางเทคโนโลยีสูงมาก มนุษย์สามารถสร้างดาวเทียม สร้างจรวดไปโลกพระจันทร์ได้ แต่มนุษย์ก็ยังตอบปัญหาที่ถามกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่ได้ คือ ปัญหาว่ามนุษย์ตายแล้วเกิดหรือไม่ คือ ปัญหาว่ามนุษย์ตายแล้วเกิดหรือไม่ จิตหลังอาสัญกาลเป็นอย่างไร บางคนเชื่อว่า ชีวิตเมื่อตายแล้วขาดสูญเป็นพวกอุจเฉททิฐิ ส่วนอีกพวกหนึ่งเชื่อว่า ชีวิตเป็นสิ่งเที่ยง จัดเข้าพวกสัสเสตทิฐิ ซึ่งทั้งสองพวกนี้ พระพุทธศาสนาจัดเป็นความเห็นผิด หรือมิจฉาทิฐิ เพราะพระพุทธศาสนาเชื่อว่า ชีวิตจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับกรรม คือการกระทำของแต่ละคน
ต่อคำถามที่ว่า มนุษย์ตายแล้วเกิดอีกหรือไม่ และจิตหลังอาสัญกาลเป็นอย่างไร ลองพิจารณาคำตอบจากเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้

แรงสาบาน
เป็นเรื่องเกิดขึ้นที่หน้าวัด มีต้นมะขามใหญ่แต่ตายไปแล้ว อยู่ตรงปากตรอก เมื่อก่อนเป็นทางควาย ตอนนั้นอาตมายังไม่ได้บวช ลุงคำ เล่าตั้งแต่อาตมายังเป็นเด็ก มาที่แถวนี้

มีคนสองคน คนหนึ่งอยู่บ้านใกล้วัดอัมพวัน อีกคนหนึ่งอยู่บ้านเหนือขึ้นไป เขาติดต่อชอบพอกัน อย่าไปออกชื่อเลย เขาตายไปตั้ง ๖๐ ปีแล้ว เขาก็รักใคร่กันดี

เขาได้สัญญาสาบานต่อกันว่า จะรักเดียวใจเดียว จะไม่รักคนอื่นต่อไป พูดถึงตอนนี้ขอฝากโยมไว้ ไปรักใครอย่าไปสาบานนะ สบถก็ไม่ได

ผู้หญิงก็สาบานให้กับผู้ชาย ผู้ชายก็สาบานให้กับผู้หญิง ว่าจะแต่งงานกัน

ต่อมาผู้หญิงเกิดมาเป็นไข้ทับระดูตาย ตายแล้วยังห่วง ด้วยอำนาจรัก ยังห่วงผู้ชายคนนี้ตลอด พยายามจะเอาเป็นสามีให้ได้ ถึงตายไปแล้วก็ปรารถนาเหมือนเดิม เพราะสาบานกันไว้

ผู้ชายคนนี้เกิดนอกใจ เพราะแฟนเก่าตายไปแล้ว จะไปแต่งได้อย่างไร ได้เกิดชอบพอกับลูกสาวคนข้างวัดอัมพวัน ได้ไปสู่ขอ พ่อแม่ฝ่ายหญิงเขาไม่ยกให้ เพราะผู้ชายจน

แต่เขารักกันแล้ว เมื่อขอไม่ให้ก็ต้องตามกันไป หน้านั้นเป็นหน้าเกี่ยวข้าว เขาไปเกี่ยวข้าวที่บางชันด้วยกัน ก็นัดกันว่า ๒ ทุ่มให้มาคอยที่ต้นมะขามหน้าวัด ผู้ชายจะมารับ ฝ่ายหญิงก็ตกลง

เกี่ยวข้าวกลับมา ผู้หญิงแต่งตัวมาคอยก่อนสองทุ่ม เมื่อถึงเวลาสองทุ่ม ผู้ชายก็มา ปรากฏว่าแฟนเก่ามาคอยบอกว่า พี่ทำไมมาช้าจัง ผู้ชายก็บอกว่ามาตามเวลาสองทุ่ม แล้วก็รีบไป

นี่แฟนเก่าปลอมเป็นผู้หญิงที่จะต้องพากันไป เขาอาฆาตจะต้องมาเอาผู้ชายคนนี้ไปเป็นสามีให้ได้

ผลสุดท้าย ผู้ชายก็บอกว่า น้องออกหน้าไป ผู้หญิงก็บอกว่า ออกไม่ได้ ให้น้องอยู่ข้างหลังเถอะ เพราะว่าถ้าพี่ออกหน้าไป หากเขาตามมายิง ฉันอยู่ข้างหลังจะได้ตายก่อน

ผู้ชายเสียรู้ผีก็ออกหน้าไป สมัยนั้นสองข้างทางก็เป็นป่าดงพงไพร ก็พากันวิ่งไป วิ่งไปถึงป่าทึบที่วัดพระแก้ว มีพระประธานอยู่ในวิหาร อยู่เหนือวัดอัมพวัน
วิ่ง ๆ ไปผู้ชายก็ได้ยินเสียง หนุม ๆ นิ่ม ๆ ก็บอกว่า
“เอ๊ะ! น้องทำอะไร
ผู้หญิงก็บอกไม่เป็นไร พี่รีบเดิน เดี๋ยวเขาจะตามมา
สักพักก็มีเสียงอีก หนุม ๆ นิ่ม ๆ นึกว่าเอ๊ะอะไรกัน จึงได้หันหลังไปดู เห็นผู้หญิงถลกหนังออกมา แล้วเก็บตัวหนอนกิน ตาโบ๋
ผู้ชายเลยออกวิ่ง ว่าอรหังก็ไม่ได้ ผีก็แปลงตัวเป็นคนเดิมไปดักหน้าบอกว่า พี่ไม่น่าเลย จะหนีน้องไปทางไหนเล่า
ฝ่ายชายก็จำได้ว่าเป็นแฟนเก่าที่ตายไปแล้ว ก็วิ่งเตลิดเปิดเปิงไป กระโดดขึ้นบ้านลุงคำ
ผีเอื้อมมือมาจับคอบิดไปเลยถึงแก่ความตาย บ้านลุงคำอยู่ทางทิศเหนือของวัดอัมพวันนี้
นี่เป็นทัศนศึกษาของชีวิต ผู้ชายคนนี้ขาดสติ ไม่ได้ฝึกกรรมฐาน ขาดสติสัมปชัญญะนั่นเอง
ขอฝากญาติโยมไว้ด้วย เลยในที่สุดก็ต้องไปเป็นสามีเขา แต่ตอนนี้อาตมาไม่ได้รู้ว่า ตามไปเป็นคู่กันชาติไหนอย่างไรกัน

ค่ายบางระจัน
เมื่อก่อนที่ค่ายบางระจันเฮี้ยนมาก ใครจะตักน้ำในสระอาจารย์โชตินำไปใส่หม้อรถ ระเบิดเลย ใครลักอะไรไปต้องนำไปคืน ใครจะไปเอาอิฐดอกจันทน์ ต้องนำไปคืนหมด

แต่ก็มีคนอยากได้ เพื่อนำมาป่นเป็นผงผสมสร้างพระ อาตมาเคยไปเอาอิฐ ๙ ตรามาได้ สมัย นายพุก ฤกษ์เกษม เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี

มีคราวหนึ่งหลายปีผ่านมาแล้ว เจ้าคณะอำเภอเดิมบางนางบวชองค์เก่า ตอนนี้มรณภาพแล้ว ท่านเคยมาที่วัดอัมพวัน ท่านอยากได้บ้าง

ท่านเลยมาค้างที่วัดนี้ รุ่งขึ้นก็ไปเอา เก็บอิฐใส่ย่าม ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไป ท่านจะนำไปทำพระหรืออะไรก็ไม่ทราบ
พอไปถึงจะเข้าเขตสุพรรณ เดิมบางนางบวช เลี้ยวไปตลาดท่าช้างมันมืด รถคว่ำศีรษะแตก ก็เก็บอิฐไปค้างบ้านของน้องสาวที่อยู่ในดงอ้อย

ตกกลางคืนเสียงครางกันกระหึ่ม เลยต้องนำอิฐมาคืน นี่คือเหตุการณ์ที่ผ่านมา
คนที่ตายขณะมีโทสะ ตายในสงครามด้วยอำนาจโทสะ นี่เป็นอสุรกายดุร้ายมาก ใครจะมาเอาอะไรไม่ได้
อาตมาก็บอกกับนายพุก ฤกษ์เกษม ว่า ถ้าสร้างค่ายสร้างวัดขึ้น มีโครงการสร้างสะพานขึ้น ก็จะหายดุร้ายไปได้

ในเวลากาลต่อมาก็สร้างสำเร็จตามเหตุการณ์ ตามลำดับ ได้ทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฉลองค่าย และทูลเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชตัดลูกนิมิต

หลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศลแล้ว ดวงวิญญาณของอสุรกายก็กลับไปเกิด เลยความดุร้ายหายไป เห็นจะเป็นจริงตามหลักพระพุทธศาสนา คนดุคือตายด้วยโทสะ

ตายด้วยอารมณ์ดี จิตเป็นกุศลก็ไม่มาดุร้าย ตายด้วยอำนาจโทสะก็อยู่ตรงนั้น มันดุ

ยกตัวอย่าง สองสามีภรรยามาแวะที่วัดนี้ หาว่าเมียมีชู้ ขับรถเบนซ์ไปก็ทะเลาะระหว่างทางไปเรื่อย ไปถึงบางปะอินก็คิดว่าอย่าอยู่เลย จึงขับรถชนท้ายรถซุง ตายคาที่ทั้งสองคน ด้วยอำนาจโทสะดุร้ายเหลือเกินที่ตรงนั้น

เหมือนต้นมะขามหน้าวัดก็ดุร้าย และแสดงอภินิหารออกมา เมื่อขุดบ่อเอาร่างขึ้นมาเผาแล้วบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศล อุทิศให้ มะขามก็ตายตรงนั้น

กลายเป็นที่เตียน และเป็นที่สำนักกรรมฐานต่อไป และจะไม่มีวี่แววอะไรอีกต่อไป เหมือนแต่ก่อนมา
ขอฝากไว้เป็นข้อคิดโดยทั่วหน้า มันมีหลักฐานที่แน่นอน

อำนาจโลภะ
อาตมาเคยเล่าเสมอว่า รักษาอุโบสถตั้ง ๓๐ กว่าปี ทอดกฐินเป็นร้อยครั้ง ทอดผ้าป่าไม่พัก ตายไปยังเป็นเปรตได้
เพราะจิตไม่ดี ไม่แยก มันยังเกาะกับสมบัติ ด้วยอำนาจโลภะ มีโมหจริตอยู่ในจิตใจมาก
คนแก่คนนี้อายุ ๘๐ กว่าปีแล้ว ร่ำรวยเงินทองมาก ได้แบ่งสมบัติให้ลูก ๆ ไปแล้ว รักลูกคนเล็กมากก็แบ่งให้มาก
ลูกชายคนโตได้ไม่เท่าไร แต่ไปสร้างฐานะเป็นเศรษฐีที่เชียงใหม่ สมบัติของแม่ให้ไปก็ยังอยู่

แต่น้องสาวมีสามีแล้วเกิดนำไปเล่นการพนัน แม่เห็นลูกสุดท้องจะลำบาก จึงไปขอสมบัติลูกชายคืนด้วยอำนาจโลภะ
ลูกคนสุดท้องก็นำไปให้สามีเล่นการพนันจนหมด เลยเสียใจตาย ด้วยอำนาจกรรม จิตเศร้าหมอง บุญไม่เคยช่วยต้องไปนรกก่อน
บัดนี้ยังเป็นเปรตอยู่นะ ยังหาที่เกิดไม่ได้ ต้องหมดเวร หมดกรรมจากเปรตเสียก่อน จึงจะไปเกิดบนสวรรค์ เพราะทอดกฐินไว้ตั้งร้อยโครม ทอดผ้าป่าไว้มาก

ต้องไปเสวยกรรมที่ตนทำมาก่อน กรรมที่ไปเอาสมบัติลูกชายคืน ให้ลูกคนสุดท้อง และลูกสุดท้องนำไปให้สามีเล่นการพนันหมด

ตรงนี้เป็นบาป จิตใจก็เกาะอยู่ แยกรูปแยกนามไม่ได้ เพราะคนนี้ไม่เคยนั่งกรรมฐาน
รู้ซึ้งซึ่งปัญญาแต่ทางโลกีย์เท่านั้น แถมมีโมหจริตปิดบังปัญญา ปัญญาก็ไม่รู้ซึ้ง แล้วเขาก็ตายไปนรก ยังเป็นเปตวิสัยอยู่ด้วยอำนาจ

โลภะ

ยังไปเที่ยวเข้าเขาอยู่ ยังไม่ได้ไปไหนเลย ยังเป็นเปรตอยู่นะ

ในวัดอัมพวันนี้มีพระ ๔-๕ องค์เป็นเปรต มารับส่วนบุญทุกวันพระ ท่านทั้งหลายจะเห็นหรือไม่ ก็ไม่ทราบกันนะ
อาตมาถามว่า “ยังไม่ไปเกิดอีกหรือ”

เขาตอบว่า “ยังครับ ผมยังไม่หมดกรรม เที่ยวมาขอทานอยู่ที่วัดนี้ มีหลวงตาเฟื่องเป็นต้น”
อีกองค์หนึ่งชื่อ หลวงตาเก๊า ยังอยู่ที่นี่ ถ้าวันพระโผล่มาทุกที อยู่ข้างโบสถ์โน้น มารับส่วนสังฆทานที่เขาทำกัน
และก็มาด้อม ๆ มอง ๆ ที่กุฏิกรรมฐาน ว่าคนไหนมีบุญวาสนาได้กรรมฐานก็เข้าไปขอ คนไหนค้าขายไม่ได้กำไร ขาดทุน เขาไม่ไปขอ คนที่ไร้บุญวาสนา เปรตไม่เข้าไปขอบ้านนั้น
เปรตนี่เข้าได้ทุกบ้าน คือ ขอทาน เปรตเข้าโบสถ์ได้ไหม ได้ แต่อสุรกายดุร้ายเข้าไม่ได้
ถ้าบ้านเรามีบุญกุศล มีเทวดารักษา อสุรกายยักษ์ร้าย อมนุษย์เข้าบ้านไม่ได้ ไม่ต้องไปหาเครื่องป้องกัน ไม่ต้องเอาพระมาเขียนผ้ายันต์ ไม่ต้องหว่านทรายหรอก เขาไม่เข้าหรอก
ถ้าเราสวดมนต์ไหว้พระทุกวันนะ หมั่นเจริญกรรมฐานแผ่เมตตา พวกนี้เข้าบ้านเราไม่ได้
แต่ถ้าเข้าได้อยู่อย่างหนึ่ง คือ เปรต ประตูเปรตนี่เป็นโลภะ ที่เป็นขอทานจะเข้าได้ทุกแห่ง ไปเที่ยวไหว้กราบขอบุญกุศล

อย่างเรามาเจริญกรรมฐาน ปู่ย่าตายาย ตายไปเป็นเปรต จะมาขอเลย ถ้าคนไหนได้ยินเสียงเปรตร้อง คือ ญาติของคนนั้น ถ้าเราไม่ได้ยิน ไม่ใช่ญาติของเรา

ถ้าได้ยินเตรียมแผ่ส่วนกุศลได้ เป็นญาติของเราเลยทีเดียว ร้องขึ้นมาต้องการขอบุญกุศล รีบแผ่ให้เลยนะ
นั่นแหละญาติของโยมตั้งแต่ชาติไหนก็ตาม ไม่ใช่ตายไปสวรรค์ทุกคนนะ ขอฝากไว้

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2551

สัจจคัมภีร์์กัปป์สุดท้าย



โอวาทของพระโพธิสัตว์กวนอิม (สัจจคัมภีร์กัปป์สุดท้าย)

คัดลอกมาจากสังคมธรรมออนไลน์ หน้าเอกสารสำหรับเครื่องพิมพ์ ส่งต่อให้เพื่อนอ่าน



พระศรีอาริยเมตไตรย พระโพธิสัตต์อวโลกิเตศวร ได้ฟังพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ให้ประคองช่วยเหลือเวไนยสัตว์สิบชั่วร้ายไม่ดีงาม ฟ้าเบื้องบนจะจัดส่งผู้คุมตารางสวรรค์เทียนเหลอเซียน ลงมายังโลกมนุษย์ตรวจดูคัมภีร์นี้ หากผู้ใดถวายด้วยความศรัทธาเคารพ สามารถหลุดพ้นจากดวงแห่งภัยพิบัติได้ ทุกชีวิตในครอบครัวไร้ทุกข์ ไร้กังวล หากคนชั่ว ร้ายที่ไม่เชื่อและศรัทธา แต่คอยดูปีวอก,ระกา,จอ,กุน มีข้าวไร้คนกิน มีเสื้อผ้าไร้คนใส่ มีถนนไร้คนเดิน มีบ้านไร้คนอยู่ มีที่นาไร้คนทำ จวบจนถึงเดือนห้า เดือนหกนั้น งูพิษร้ายเกลื่อนเต็มไปทั่ว เดือนแปด เดือนเก้า คนชั่วร้ายจะตายสิ้น ซากศพเต็มเกลื่อน
มีคนที่ละชั่วประพฤติดีไม่ต้องวิตกกังวล เศร้าสลดกับภัยพิบัติทั้งสิบประการนี้คือ
1. อัคคีภัย - อุทกภัย
2. ควันที่เป็นสัญญาณทำลายล้าง
3. มึนซึมหมดสติตาย
4. การหย่าร้างของสามี - ภรรยา
5. งูพิษทำร้ายคน
6. เศร้าสลดซากศพเต็มพื้นปฐพี
7. ภัยสงครามฆ่าฟันกัน
8. อากาศแปรเปลี่ยน วันคืนหนาวเย็น
9. มีบ้านต้องยกให้ผู้อื่นอยู่
10. เศร้าสลดไม่พบความสันติสุข
บนถนนคนตายนับไม่ถ้วน หนึ่งหมื่นตายเก้าพัน มหันตภัยมาแล้ว พืชพันธุ์ธัญญาหารเก็บเกี่ยวได้ผลน้อย เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง พญานาคดุร้าย เกะกะระรานทั่ว เวไนยสัตว์มีภัย องค์เง็กเซียนมหาราชจึงจัดส่งกวน, เจ้าสองขุนพลลงสู่โลกมนุษย์ และเทพยดาที่สัญจรอยู่เบื้องบน เหนือโลกมนุษย์เพื่อตรวจดูคัมภีร์นี้ หากมีคนชั่วร้ายทั้งหลาย จะให้ข้าวยากหมากแพง พระศรีอาริยเมตไตรยจะปรากฏกวน เจ้าสองขุนพลสู่แดนมนุษย์ จากปีจอเริ่มต้นด้วยโรคระบาดจนถึงปีกุน ประชาราษฎร์ในเก้าคน จะรอดตายเพียงหนึ่งคน จะเกิด มหันตภัยขึ้น เช่น
1. วาตภัย
2. อัคคีภัย
3. ฟ้าผ่าไฟฟ้าช๊อต
4. ภัยสงคราม
5. ภัยโรคร้าย
6. อดอยาก ขาดอาหาร
7. งูพิษร้ายกัด
8. ภัยจากการคลอดบุตร
9. อุทกภัย
10. ภัยจากการสูญสิ้นมนุษย์ชาติ
พระศากยมุนีพระพุทธองค์ ครองธรรมกาลหนึ่งหมื่นสามพันปีจนมาถึงปัจจุบันครบบริบูรณ์แล้วพระศรีอาริยเมตไตรยรับสืบต่อครองธรรมกาล เริ่มต้นแต่ปีวอก จนถึงปีชวด พืชพันธ์ธัญญาหารไม่สมบูรณ์คนจะอดอยากตาย ภัยสงครามยากที่จะหลีกหนี หากมีคนนำคัมภีร์นี้เผยแพร่ไปทั่วทุกหนทุกหนึ่งแพร่ไปถึงสิบ สิบแพร่ไปถึงร้อย ร้อยแพร่ไปถึงพัน จนถึงหมื่น จะรอดพ้นจากภัยพิบัติ ถึงยุค เหยาซุ่น มาถึง ( เหยา หมายถึง บ้านเมือง จะมีคง ความรุ่งโรจน์ ซุ่น หมายถึง สังคมจะมีความยุติธรรม) ก็จะได้ร่วมสุขสันต์กับโลกแห่งบัวบาน ผู้ใดรู้แล้วไม่ยอมเผยแพร่คัมภีร์นี้ จะต้องพบภัยพิบัติทั้งสิบประการ ยากที่จะกลับมา เกิดอีก ผู้ใดเขียนถ่ายทอดเผยแพร่ออกไป ทุกคนในครอบครัวจะอยู่เป็นสุข พบแต่ความ เป็นสิริมงคล สามารถรอดพ้นจากมหันตภัยได้ พระโพธิสัตต์อวโลกิเตศวรเข้าเฝ้าพระผู้ เป็นเจ้าเบื้องบน นำความดีชั่วของชาวโลกกราบบังคมทูลต่อเบื้องบน องค์เง็กเซียนมหา ราชทรงทราบข่าว ทรงพิโรธยิ่ง ต่อว่าบรรดาเทพยดาทั้งหลายเสียแรงเปล่าที่ชาวโลกจุดธูปเทียนบูชากราบไหว้ แต่ไม่ยอมอบรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลายจวบจนบัดนี้ ในโลกเต็ม ไปด้วยคนชั่วร้ายไม่มีมโนธรรม จึงได้มีพระราชโองการให้เกิดภัยพิบัติหลายปี เพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงประชาราษฎร์ ในเวลานั้นบรรดาเหล่าเทพยดาทั้งหลาย ได้กราบทูลพร้อมด้วยพระโพธิสัตต์กวนอิมแห่งทะเลใต้ ได้ทรุดกายหมอบลงกับพื้นพระบรมมหาราชวัง ทูลขอ ให้ทรงโปรดกรุณาแก่ชาวโลกเป็นหลายครั้ง ว่าผู้ชั่วร้ายสมควรดับ ผู้ดีงามควรแบ่งแยก
องค์เง็กเซียนมหาราช ทรงบัญชาชี้ขาด ทรงเห็นว่าดี ชั่ว สองอย่างต่างกัน ให้สงครามเจาะจงเลือกที่เกิด ให้โรคระบาดเจาะจงเลือกคนเป็น และส่งจอมพลรับราชโองการเก็บกวาดล้างมนุษย์โลกตามที่มีผู้ทำชั่วร้ายดังนี้
1. เก็บผู้ที่กล่าวโทษด่าว่าฟ้าดิน
2. เก็บผู้ที่ไม่กตัญญูต่อบิดามารดา
3. เก็บผู้ที่กดขี่ราษฎรและฉ้อราษฎร์บังหลวง
4. เก็บผู้ที่ประพฤติผิดในกาม มักมากตัณหา
5. เก็บผู้ที่ทิ้งขว้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร
6. เก็บผู้ที่ทำลายศาสนา หลอกบางเทพยดา
7. เก็บผู้ที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
8. เก็บผุ้ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยม คดโกงตาชั่ง
9. เก็บคนที่หลอกลวงให้คนหลงเชื่อ
10. เก็บผู้ที่ทำลายผุ้อื่นเพื่อประโยชน์สุขส่วนตน
11. ผู้สูงอายุนิดเดียวก็ไม่ยอมตักเตือนแก้ไข
12. คนรุ่นหลังไม่มีคุณสัมพันธ์ 5
13. คนชั่วรังแกคนดีที่ซื่อสัตย์
14. คนรวยใจไม้ไส้ระกำต่อคนยากจน
15. ชักศึกเข้าในเพื่อประโยชน์ภายนอก
16. ใช้กลอุบายวางแผนแก่งแย่งชิงดีกัน
17. ลักขโมยสิ่งของของผู้อื่น
18. ขายยาปลอมหลอกลวงชาวบ้าน
19. พบคนดีมีความซื่อสัตย์สุจริตถูกรังแกจนเข้ากระดูกดำ
20. พบคนเลวประจบสอพลอพะเน้าพะนอ
21. ซื้อขายหลอกลวงคนโง่เขลา
22. ย่ำยี เหยียบกระดาษตัวอักษร
23. มีแต่พวกแต่งกายเรียบร้อยสวมหน้ากากมนุษย์
24. ปฏิบัติดำเนินการผิดหลักฝ่าฝืนหลักธรรม
25. มีบางพวกอาศัยอำนาจใช้อิทธิพล
26. หลอกลวงใจตนเองและละเมิดหิริโอตัปปะ ทำลายคนโดยขาดศีลธรรม
27. มีบางพวกใจโหดเหี้ยม มุ่งกำไร หาผลประโยชน์ไม่คำนึงถูก - ผิด
28. ไม่คำนึงถึงหิริโอตัปปะ ไม่มีความสุจริตใจ
29. มีบางพวกอกตัญญู ไม่รู้คุณคน
30. รุ่นหลังจะเป็นคนกันอย่างไร
31. มีบางพวกรังแกข่มเหงเด็กและคนแก่
32. มีบางพวกทำลายการวิวาห์ให้แตกแยกสลาย
33. มีบางพวกทุบตี ปู่ ย่า ตา ยาย
34. มีบางพวกยกย่องคนรวย รังเกียจคนจน
35. มีบางพวก พี่ ป้า น้า อา ไม่สมานปรองดองกัน
36. มีบางพวกไม่เคารพรักสามี
37. มีบางพวกยุยงส่งเสริมให้ฟ้องร้องกัน
38. พี่น้องแก่งแย่งชิงดีกัน
39. จับงู ตีอวน ยิงนก
40. ปล่อยไฟเผาป่า ทำลายสุสาน
41. ส่งหนังสือทำลายพิธีภูติผีเวทมนต์
42. ใช้คาถาอาคมฝังรูปฝังรอยทำร้ายผู้อื่น
43. เจตนาเขียนยันต์สาปแช่งทำลาย
44. เกิดโทสะเมื่อผู้อื่นต่อว่า ต่อปาก ต่อคำ
45. ใช้เล่ห์กลกล่าวให้ร้ายป้ายสี
46. ธัญญชาติปะปนน้ำ ขายขูดรีด
47. เห็นคนมีเงินโกรธแค้น
48. เห็นคนร่ำรวยมีเกียรติเกิดความริษยา
49. เห็นคนทุกข์ยากไม่ช่วยเหลือ
50. พบคนตกอยู่ในความลำบากไม่ช่วยเหลือ
51. ไม่ประมาณดีชั่วของตนเอง
52. กลับกล่าวว่าผู้อื่นไม่เที่ยงธรรม
53. ตักเตือนให้ทำแต่ความดีไม่เชื่อฟัง
54. แนะนำให้ทำชั่วดำเนินทันที
นี่คือห้าสิบสี่ข้อกรรมชั่ว แต่ละรายควบคุมสอดส่องเก็บกวาดเรียบ มิให้เหลือไว้ในโลกา ส่งเข้าสู่หนทาง เปรตเดรัจฉานให้เขาเหล่านั้นสูญพันธุ์ทั้งครอบครัว ให้เขาบ้านแตกสาแหรกขาด ให้เขานองเลือด ให้กระดูกพวกเขาเหล่า นั้นดั่งพงพี่ มีที่นาไม่มีคนเพาะปลูกไถ มีบ้านให้ผู้อื่นอยู่อาศัย หากเปลี่ยนปแปลงแก้ไข ละความชั่ว สร้างความดี เขาจะหายเจ็บป่วย อายุยั่งยืน ดูเหล่าความคิดของเวไนยสัตว์ทั้งหลายรีบเร่งดำเนินปฎิบัติแต่ดีงาม กำหนดสามปีให้ ตรวจทั่ว กลับมากราบทูลทันที องค์เง็กเซียนมหาราชทรงทราบ พระองค์ทรงมีพระราชโองการดังนี้ ข้า ฯ จะลงมา ตรวจตระเวนทุกหนทุกแห่งควบคุมสอดลส่องละเอียดถี่ถ้วน ข้าฯ จะดำเนินการตัดสินให้เกิดภัยสงครามระลอก- หนึ่ง ให้โรคระบาดอีกบางส่วน ภายในเวลาไม่กี่เดือนทุกหนทุกแห่ง เก็บกวาดคนชั่วร้ายให้หมดสิ้น ต่อให้เจ้าวิง- วอนไหว้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มิตอบสนอง ต่อให้เจ้ากินยารักษาโรคไม่ได้ผล ถึงแม้ตำราเสินหนงยังอยู่. ถึงทานยาดีชั่วก็ต่างกัน คนดีมีคุณธรรม กินยารักษาได้ผล คนชั่วเลวร้ายกินยาแล้วไม่รอด บัดนี้ข้าฯ เห็นเหตุการณ์น่าเวทนา ไม่มี วิธีใดสามารถช่วยเวไนยสัตว์ได้ ต่อให้เจ้าจุดธูปบูชาข้าฯ เสียแรงเปล่าเห็นข้าฯ เป็นเทพยาดาน่าเคารพ แต่ปัจจุบัน มีทุกข์ ไม่ยอมช่วยเหลือ ใช่ว่าข้าฯ นั้นจะบิดเบือนต่อเบื้องบน ข้าฯ ได้วิงวอนด้วยความรีบเร่งร้อนรน และเบื้องล่างก็กล่าวพูดสัจธรรมตักเตือนให้ได้
บัดนี้ถึงกาลปลายกัปป์ ภัยพิบัติยุคสุดท้าย ปุถุชนธรรมดาเก้าตายไว้หนึ่งรอด สงครามอาวุธมีดพร้าเกิดขึ้นรอบด้าน โรคระบาดบุกรุกทุกแห่งหน ฟ้าอสุนีบาตฝ่าฟาดดังสนั่นสั่นสะท้าน อุทกภัยไหลหลากท้นท่วมบ้านเมือง วาตะพายุผกผันกวาดไปทุกหนแห่ง ภัยธรรมชาติแห้งแล้ง ชีวิตยากจะอยู่รอด พญามารเคาะประตูยามค่ำคืน โรคระบาดปรากฎในกลางวันประชิดตัว เสือร้ายออกจากป่าเขาจะหลบหนีอย่างไร งูพิษเต็มถนนหนทาง ยากที่จะเดิน หนี มีสิบมหันตภัย ยากหลีกหนี เมื่อมหันตภัยสิบได้ผ่านจึงนับว่ายอดคน
นี่แหละคือสิบมหาภัยอันยิ่งใหญ่ มีเพียงเตือนให้ท่านเปลี่ยนแปลงปรับปรุงในจิตใจ สบโอกาสรีบ ๆ แก้ไข สำนึกผิดได้ยินได้รู้ เร่งกลับตัว กลับใจโดยทันใด อย่ารอจนภัยพิบัตินั้นมาถึงจะวิงวอนให้ช่วยเหลืออย่างไรก็ไร้ผล สร้างกุศลความดีกันแต่เนิ่น ๆ เพื่อหลบหลีกภัยพิบัติ เหล่าเวไนยสัตว์รีบตั้งจิตศรัทธา เคารพกตัญญู ฟ้า บิดา มารดา จงรักภักดีต่อชาติ บ้านเมือง ประชาราษฎร์คนจนจงรู้จักเจียมตัว ผู้มั่งมีจงเร่งรับช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ยากไร้ ผู้เปรื่องปัญญาตักเตือนชี้แนะผู้ด้อยรู้ให้ได้ผ่านพ้นภัยด้วยกันในโลกีย์ ผู้ไร้บุญบารมีตกลงสู่ทะเลทุกข์ มีบุญสัมพันธ์ ได้พบความสงบสุข บัดนี้ ข้าฯ แฝงกายยืมปากท่านไหว้วานบรรดาผู้ที่รู้จักอักษรเขียนถ่ายทอดให้ข้าฯ หนึ่งเล่ จะปกปักษ์รักษาให้ร่างกายสมบูรณ์ และแข็งแรง เขียนถ่ายทอดให้ข้าฯ สิบเล่ม ทั้งครอบครัวจะพ้นเคราะห์ภยันตราย เขียนถ่ายทอดให้ข้าฯ ร้อยเล่ม จะปกปักษ์รักษาให้อายุยั่งยืน อีกทั้งบลาภ วาสนา มีเงินรีบพิมพ์แจกทันทีทันใดจะปกปักษ์รักษาให้ได้เกียรติทั้งยศศักดิ์อันรุ่งโรจน์ หากพบผู้ไม่รู้ตัวอักษรช่วยบอกต่อให้เข้านั้นได้ฟังและเข้าใจ ถ้าหากมีคนชั่วร้ายไม่ศรัทธาเคราะห์ภัยจะใกล้ตัวในทันใด จะเกิดปวดเศียรเวียนศีรษะหน้ามืดและตาลาย เจ็ดทวารเลือดไหล ไปเมืองผี ภายในสิบชั่วร้ายนี้ ข้าฯ มิอาจกล้ากล่าวได้ให้ชัดแจ้งคิดจะเผยความลับของสวรรค์ ก็กลัวเบื้องบนจะลงโทษทัณฑ์ หากท่านทั้งหลายไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาว่าไม่จริง ไม่นานภยันตรายจะมาใกล้ตัวท่าน หากชาวโลก ศรัทธาและเชื่อฟัง เบื้องบนอาจทรงโปรดช่วยให้ไม่เกิดภัยพิบัติ
จงหัวหมินกั๊ว ปีที่ 5 จันทรคติ เดือน 10 คืนขึ้น 10 ค่ำ 3 ชั่วโมงลงสู่ ณ กู่ซี่ (โกวจิน) หงีเลียงเกาะ สถานธรรมจิบเลียง * หนังสือนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ออกมาเมื่อ ค.ศ. 1916 พ.ศ. 2459 รวม 77 ปี *

คุกสวรรค์ แน่ใจหรือว่าถ้าได้ขึ้นสวรรค์แล้วจะไม่ติดคุก



กระจกส่องผู้บำเพ็ญ (คุกสวรรค์)

คัดมาจากเวบสังคมธรรมออนไลน์


พระโอวาทผู้เฒ่าคุณฟ้า
เทียนเต๋อเหล่าเหยิน
ชั้นวินยะตน (จื้อหลวี่ปัน)
วันที่ 9-10 มกราคม พ.ศ. 2543
ณ วิหารเทียนเซิ่งฝอเอวี้ยน
ฮวาเหลียน ไต้หวัน

ข้าควบคุมคุกสวรรค์เผยความลับ
จดบุญบาปดวงเนตรฟ้าพิศชัดหนา
จองจำด้วยไม่บำเพ็ญคุณปัญญา
โทษนานาลงอาญามากมายมี
ข้า คือ
ผู้คุมคุกสวรรค์ เทียนเต๋อเหล่าเหยิน
รับบัญชาจาก
พระองค์ธรรมมารดา ลงสู่ธรรมสถาน
น้อมกายกตัญชลี
องค์ชคัตตรยาพดงส์ เมธีทั้งหลาย
สราญฤๅ?

ผู้คุมคุกสวรรค์
ท่านเทียนเต๋อเหล่าเหยิน
เมตตาให้โอวาทแก่นัถเรียนในชั้น

เทียนเต๋อเหล่าเหยิน : เมธีทั้งหลายบัดนี้ ข้าได้สนองรับพระบัญชาจากพระองค์ธรรมมารดา มาไขความลับสวรรค์ เพื่อตักเตือนเจ้าทั้งหลาย หน้าที่ของข้าก็คือคุมคุกสวรรค์ เจ้าทั้งหลายควรรู้ว่า มีนรกก็ต้องยอมมีคุกสวรรค์เช่นกัน คุกสวรรค์อยู่ที่ไหน? อยู่ติดกับพุทธาลัย มีทางอยู่เส้นหนึ่ง เชื่อมผ่านได้ทั้งสองที่ ที่หนึ่งมืดมิดเยือกเย็นอีกที่หนึ่งสว่างและเป็นสุขยิ่ง ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เจ้าทั้งหลายจะก้าวย่างอย่างมั่นคงและระวังสำรวม กาลนี้หากไม่บำเพ็ญจริงปฎิบัติแท้ ก็จะต้องไปรายงานตัวที่ๆข้าควบคุมอยู่อย่าได้คิดว่าพุทธระเบียบหรือ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไม่สำคัญ อีกทั้งไม่เคารพอาจารย์เทิดทูนธรรมะ นิสัยความเคยชินมากมาย หากเป็นเช่นนี้ บำเพ็ญไปก็เปล่าประโยชน์ กล่าวแก่เจ้าทั้งหลาย หากเจ้าผิดต่อกฎแห่งฟ้า จะผ่านด่านของข้าก็ไม่ง่ายเลย
จะกล่าวถึง ถ้ำเมฆวายุ ก่อน ผู้ก่อกรรมทางวาจา ไม่ปฏิบัติบำเพ็ญจริง วิจารณ์อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม คนเหล่านี้ เมื่อคืนกลับไปก็จะรู้สึก ดังที่กล่าวมาเมื่อครู่ บำเพ็ญตามบุคคลสร้างวจีกรรม ให้ร้ายธรรมให้ร้ายบรรพจารย์กลับคืนไปก็จะต้องถูกลงโทษ เจ้าอาจจะข้องใจว่า เมื่อไม่มีกายสังขารแล้วจะลงโทษได้อย่างไร? ลงโทษที่จิต คือจิตได้รับการลงทัณฑ์ผู้ที่ก่อวจีกรรม แม้นไม่กลับตัวกลับใจ เมื่อความคิดไม่สงบ ลมและเมฆก็จะคอยตามความคิดของเจ้า ตบตีเจ้า ทำให้เจ้าเจ็บปวดแทบใจสลาย ยากพรรณา ใครใช้ให้เจ้าสร้างวจีกรรม
ต่อมา คุกสร้างอาคาร พระแม่องค์ธรรมมีพระบัญชา เปิดเผยเพียงเท่านี้ อะไรคือคุกสร้างอาคาร เพราะมีถันจู่เจ้าตำหนักพระบางคน หลังจากที่เปิดสถานธรรมแล้ว ไม่ยอมให้ญาติธรรมศึกษาธรรม จิตใจคับแคบ ไม่กระจ่างต่อหลักธรรม ทำให้อาณาจักรธรรมเกิดความวุ่นวาย หรือเปิดสถานธรรมแล้วยกเลิกสถานธรรม หากใครละเมิดกฏข้อนี้เมื่อกลับคืนเบื้องบน เบื้องบนก็จะให้อาคารรูปทรงต่างๆ แก่เจ้าเพื่อนำไปสร้าง เมื่อสร้างเสร็จอาคารเหล่านั้นก็จะพังลงมา ให้เจ้าได้รับทุกข์ทรมานจากการสร้างอาคาร
ต่อมา คุกไต่บันได ทำไมต้องมีคุกไต่บันได? เพราะมีคนบำเพ็ญจำนวนมาก ที่มักมีจิตใจลังเลสงสัย สองจิตสองใจ เดินๆ หยุดๆ เมื่อกลับคืน เบื้องบนก็จะให้บันไดแก่เจ้าให้เจ้าไต่ขึ้นไปแต่ละขั้น แต่บันไดที่ให้เจ้านั้นไม่ว่าเจ้าจะไต่ขึ้นไปอย่างไร ก็ไต่ไม่ถึงจุดสูงสุด มันจะตกลงไปอยู่ข้างล่างเรื่อยๆ เพื่อเคี่ยวกกรำจิตญาณของเจ้า ต่อเมื่อจิตใจของเจ้ามีการเปลี่ยนแปลง จึงจะผ่านด่านนี้ได้ เรื่องราวที่เจ้าได้สร้างไว้ในโลกมนุษย์ หากความคิดไม่เที่ยงตรง บำเพ็ญได้ไม่ดี ก็จะได้รับการลงโทษในด่านนี้ จะต้องบำเพ็ญให้บริสุทธิ์สะอาด จึงจะคืนสู่เบื้องบนได้
ต่อมา คุกเมล็ดพันธ์ หากใจของเจ้าไม่สงบหรือไม่ขจัดใจสาม เบื้องบนก็จะให้เมล็ดพันธุ์แก่เจ้า เมล็ดพันธุ์นี้จะงอกอยู่ในมือของเจ้าไม่หยุด เจ้าจะต้องปลูกต้นอ่อนเหล่านี้ต้นแล้วต้นเล่า ซึ่งไม่แน่ว่าเมื่อเจ้าปลูกลงไป มันจะมีชีวิต หากเจ้ามีจิตสำนึกขอขมาด้วยความจริงใจ เบื้องบนก็จะนิรโทษกรรมให้ ผู้ที่จะมายังด่านนี้ ล้วนเป็นคนที่เห็นแก่ตัวปฏิบัติงานด้วยความลำเอียง ไม่ลงแรงในการส่งเสริมนักธรรมรุ่นหลัง ถ่วงหนทางในการบำเพ็ญของผู้อื่น ตัดซึ่งปัญญาญาณในการบำเพ็ญของผู้คน บุญหรือบาปเบื้องบนล้วนรับรู้ แม้ว่าเจ้าทั้งหลายจะบำเพ็ญธรรม แต่หากไม่ปฏิบัติอย่างจริงใจ เบื้องบนล้วนชัดแจ้ง และแบ่งแยกได้ชัดเจน ดังนั้น ทุกย่างก้าวของเจ้าทั้งหลายจะต้องสำรวมระวัง อย่าได้ทำผิดแล้วค่อยมาเสียใจภายหลัง จะสายเกิน คนที่ไปพบข้าส่วนมากสอบไม่ผ่านในส่วนของด่านตรีเทพพิทักษ์ ทุกวัน ท้าวจตุรเทพ(ซื่อปู้เสินจวิน) ก็จะนำข้อมูลมาส่งให้แก่ข้า เมธีทั้งหลาย วันนี้เห็นข้าปรากฏกาย เจ้าจะต้องเตือนตัวเอง จงนำความห้าวหาญและความเที่ยงตรงของเจ้าออกมา
จะบัญชาให้ขุนนางผู้คุม นำพาญาณเดิมเข้ามายังธรรมสถาน เพื่อกล่าววาจาสักเล็กน้อย(หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าเทียนเต๋อเหล่าเหยินกล่าวจบ ท่านได้กระแทกไม้เท้าลงพื้นหนึ่งครั้งญาณเดิม ก็ได้ประทับร่างของสามคุณอีกท่านหนึ่งล้มลงกับพื้น สะอื้นไห้ คลานเข้ามายังห้องประชุม พุทธบริกรจึงเข้าไปช่วยพยุงเข้ามายังกลางห้องประชุม.......)
เทียนเต๋อเหล่าเหยิน : เจ้ามีเวลาไม่มากนักจงรีบเล่าถึงความผิดของเจ้าที่ได้กระทำไป !
ญาณเดิม : ข้าเป็นผู้ชาย ชื่อว่าโจวจวิ้นเซิง ละกายสังขารเมื่อปีหมินกั๋วที่70 (พ.ศ.2524) ข้าเป็นเจ้าตำหนักพระ แรกเริ่มนั้นข้าศรัทธาต่อธรรมะมาก หลังจากได้รับธรรมะ ก็ได้ติดตามนักธรรมอาวุโสบำเพ็ญปฏิบัติธรรม อาวุโสคอยส่งสริมยกกระดับอยู่เสมอ และส่งเสริมข้าให้เป็นอรรถาจารย์ ข้าจึงเป็นทั้งเจ้าตำหนักพระและอรรถาจารย์ ในเวลาเดียวกัน หน้าที่เหล่านี้ไม่ธรรมดาเลย แต่ว่า ข้าไม่มีความเคารพในอาจารย์เตี่ยนฉวนซือ บางครั้งถึงกับดูถูกดูแคลน มักที่จะคิดอยู่เสมอว่า อาจารย์ไม่รู้เรื่องในการปฏิบัติงานธรรม ไม่เข้าใจในเรื่องราวต่างๆ เข้าจึงถือดี อวดตน คิดว่าอาจารย์ด้อยกว่าข้าในทุกๆด้าน บางครั้งก็ปากอย่างใจอย่าง ข้าเป็นถึงเจ้าตำหนักพระ แต่ไม่เคารพต่ออาจารย์เตี่ยนฉวนซือ บาปหนักเหลือเกินในยามที่ทำบุญให้ทาน ข้าก็จะยึดติดในรูปลักษณ์ หากไม่เห็นเป็นรูปลักษณ์ ก็จะคอยสอบถามอาจารย์ว่า เงินทำบุญเหล่านั้นสูญหายไปตรงไหน อาจารย์ท่านบำเพ็ญดี ไม่เคยโกรธแค้น มีแต่คอยพร่ำสอนตักเตือนต่อมา ข้าฟังคำของคนรอบข้างมากไป คิดว่าอาวุโส ทำไม่ถูก อาวุโสไม่เอาใจใส่ดูแลผู้น้อยตอนนี้แหละที่ข้าก้าวพลาด จึงปิดสถานธรรมอีกทั้งคบคนเลวๆ จึงทำให้ทุศีลเจแตกใหม่ๆก็คิดว่าลองกินดูก็แล้วกัน คงไม่เป็นไร?แต่ก็ไม่สบายใจ กินแล้วก็กราบพระสำนึกขอขมา ทุกครั้งที่ทำผิดก็จะสำนึกขอขมาจนกลายเป็นความเคยชิน ผิดแล้วผิดอีกตอนนั้นในใจก็คิดว่า คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ภัยคงไม่มาถึงตัว และยิ่งตอนนั้นงานทางโลกก็ไปได้ดีมาก จึงคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้องแล้ว อาวุโสทุกท่าน บำเพ็ญธรรมจะต้องบำเพ็ญจริงตามหลักสัจธรรม บำเพ็ญอย่างจริงจัง
เทียนเต๋อเหล่าเหยิน : เมื่อรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้เหตุใดจึงกล้ากระทำ! มีอะไรอีก?
ญาณเดิม : ยังถ่วงผู้คนอีกจำนวนมาก ข้าเล่าเรื่องของข้าให้ผู้ร่วมบำเพ็ญฟัง และยุให้เขาทุศีลเจแตกเหมือนกับข้า ด้วยเหตุที่เป็นอรรถาจารย์ มีวาทะศิลป์ ผู้คนจึงหลงเชื่อ เป็นเจ้าตำหนักพระ แต่กลับยกเลิกสถานธรรม เลิกล้มธรรมกิจ ก็เท่ากับตัดหนทางแห่งปัญญาญาณของผู้คนไปมากมายเท่าใด? อยู่ในอาณาจักรธรรม ข้าก็มีจิตใจที่คับแคบกลัวคนอื่นเขาจะดีกว่า กลัวว่าจะมีบุคลากรที่เก่งกว่า กลัวว่าตนเองจะไม่มีจุดยืน บำเพ็ญธรรมอย่าได้เป็นเช่นนี้เลย ตอนนี้ข้าเพิ่งจะเข้าใจ ข้าทำผิดไว้มากมายเหลือเกิน ข้าต้องผ่านคุกสวรรค์ด่านแล้วด่านเล่า จิตของข้าทรมานนัก ยิ่งยึดติดมากเท่าไหร่ ก็ยากที่จะวางใจลงได้ในคุกสวรรค์หากสามารถปล่อยวางได้ ก็ไม่ต้องถูกคุมขัง ทุกอย่างจะต้องเป็นอสังฆตะหวังอาวุโสทุกท่านจะเห็นข้าเป็นดังกระจก ขอให้คิดให้รอบคอบและถี่ถ้วน ข้าสานึกผิดแล้วแต่มันก็สายเกินไป เมื่อทำผิด ก็ต้องสานึกด้วยใจจริง อย่าได้สำนึกแล้วสำนึกอีก อาศัยกายสมมติ เร่งรีบสร้างบุญกุศลชำระปณิธานเช่นนี้ ไม่เพียงแต่สามารถกลับคืนฐานเดิมได้ยังสามารถบรรลุสู่มรรคผลพุทธะได้อีก
ปณิธานของเราล้วนแตกต่างกันไป บ้างก็มาเพื่อหนุนนำงานธรรม แต่กลับมาลุ่มหลง ข้าสำนึกผิดแล้ว ฮือ..ฮือ..ฮือ......
เทียนเต๋อเหล่าเหยิน : เมธีทั้งหลายชั้นนี้เปิดขึ้นมาก็เพื่อให้เจ้าทั้งหลายได้สำนึกผิดขอขมา เจ้าทั้งหลายมีจิตสำนึกขอขมากี่ส่วนมิใช่ว่าทุกคนที่บำเพ็ญ จะต้องกลับไปยังคุกสวรรค์ทุกคน นี่เป็นการชี้แนะเจ้าทั้งหลายสิ่งที่ญาณเดิมได้กล่าวไปเมื่อครู่นี้ ทุศีลเจแตกบาปนี้มหันต์นัก จะต้องตกนรกอเวจีไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด เมธีทั้งหลายเจ้าจะต้องระวัง อย่าได้คิดว่าไม่มีใครเห็น คิดจะทำอะไรก็กล้าทำเมื่อใบเทวนาคราชได้ถวายขึ้นสู่เบื้องบน ไม่ว่าจะเป็นวาจา กริยา อาการของเจ้าทั้งหลาย ล้วนอยู่ในมือข้า สิ่งที่ญาณเดิมได้กล่าวไป หากเจ้าเองก็เคยทำผิดในส่วนนั้น จงเร่งแก้ไข และจะต้องเร่งบำเพ็ญจริงปฏิบัติแท้ อย่าได้รอจนถึงประตูคุกสวรรค์ก่อน สายไปไม่ใช่เบื้องบนไม่เมตตา สวรรค์มีประตูเจ้าไม่เดิน นรกไร้ประตูเจ้าก็แหวกเข้าไปเอง ข้าก็จนใจ!
วันนี้ เห็นข้ามาตักเตือนอย่างสุภาพอ่อนโยน แต่ในคุกสวรรค์ ข้ายุติธรรมและเที่ยงตรงเสมอ เวลามีจากัด หวังเจ้าทั้งหลายจะบำเพ็ญปฏิบัติด้วยความจริงใจ หวังว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกตลอดไป ดีใหม?
นักเรียนในชั้น : ดีครับ/ค่ะ
เทียนเต๋อเหล่าเหยิน : นำพาญาณเดิมคืนเบื้องบน ถอน..........
โอวาทพญามาร อาซิวหลัวหวัง
ชั้นชิงโข่วปัน
วันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 4 พ.ศ. 2539
ณ พุทธสถาน ผู่เอวี้ยน กรุงเทพฯ

พญาอสูรสอบญาณต้นกล้าอ่อน
ผู้บำเพ็ญจิตสั่นคลอนมารเข้าแทรก
คือมวลมารฤๅพุทธาเท็จจริงแยก
เมื่อมารแทรกกลางจิตเข้าเจ้าก่อกรรม
ข้า คือ
อาซิวหลัวหวัง
จอมมารแห่งธรรมกาลยุคขาว รับบัญชา
พระแม่องค์ธรรม ลงสู่โลกา แฝงกายบทมาลย์
พระอนุตตรธรรมเจ้า

อาซิวหลัวหวังให้โอวาทแก่
นักเรียนในชั้น

พญามาร : ไม่มีข้า (ทดสอบ)เจ้าก็ยากที่จะสำเร็จธรรมเมื่อมีข้า เจ้าก็จะพบเจอกับความยากลำบากมากมาย จอมมารอย่างข้า มาก็เพื่อทดสอบคนที่ทานเจเช่นเจ้าทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ หน้าที่ของข้าคือการฉุดเจ้าให้ตกต่ำทำให้เจ้าสั่นคลอนได้มากเท่าไหร่ เข้าก็จะมีบุญกุศลได้มากเท่านั้น แค่เพียงจิตของเจ้าสั่นคลอน มารก็จะเข้ามาผจญ ก่อกวนให้เจ้ายากควบคุมตน ให้เจ้าหลุดไปจากกระแสของการบำเพ็ญปฏิบัติ ชอบจอมมารอย่างข้าหรือไม่?
นักเรียนในชั้น : ไม่ชอบ!
พญามาร : ใครชอบข้ายกมือขึ้น ถ้าจะมอบบัลลังก์ให้เจ้านั่ง ไม่ต้องบำเพ็ญให้ลำบากเช่นนี้ ข้าสามารถแบ่งภาคได้นับร้อยพันล้านร่าง ข้ามาก็เพื่อทดสอบปัญญาของพวกเจ้า ถ้าติดตามข้า ข้าจะทำให้เจ้าสำเร็จมรรคผลพุทธะเอาใหม?
นักเรียนในชั้น : ไม่เอา!
พญามาร : จอมมารอย่างข้าชอบที่สุดก็คือคนที่หันหลังให้ธรรมะ คนที่บำเพ็ญตามบุคคลคนที่ไม่เคารพอาจารย์ไม่เทิดทูนธรรมะ ตามข้ามาให้หมด อย่าดูแคลนข้า ข้าสามารถทำให้เจ้ากลับคืนเบื้องบนได้ ทำไมเจ้าไม่ตามข้ามาล่ะ? หากเจ้าตามข้ามา เจ้าก็จะได้เป็นสมุนของข้าตาเนื้อของเจ้าไม่อาจมองเห็นว่าในมือของข้านี้กำลังถืออะไรอยู่? ในมือของข้าเต็มไปด้วยเพชรนิลจินดาทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียงลาภยศข้าชอบที่สุดก็คือคนที่โลภในชื่อเสียงลาภยศ ไม่บำเพ็ญอย่างแท้จริง ใครไม่ต้องการนั่งอย่างลำบากเช่นนี้บ้าง?
นักเรียนในชั้น : ไม่มี
พญามาร : ถ้าตามข้าเจ้าปรารถนาอะไรก็จะได้ดังหวัง ข้าจะทำให้ความฝันของเจ้าเป็นจริง คนที่อยากรู้อยากเห็น ข้าชอบนัก คนที่มักมากในกาม ข้าสามารถทำให้เจ้าได้พบกับสิ่งที่เจ้าต้องการ โอกาสมีไม่มากนัก ใครต้องการยกมือขึ้น! เจ้าทั้งหลายจงฟังข้า อย่าได้ฟังอาจารย์เตี่ยนฉวนซือ ไม่ต้องลำบากนั่งฟังธรรมะอยู่ที่นี่หรอก ข้าจะให้เจ้าเป็นหัวหน้ามารเอาไหม?
นักเรียนในชั้น : ไม่เอา!
พญามาร : ข้าเป็นถึงพญามาร มาที่นี่ก็นานแล้ว ไม่เห็นมีใครเอาน้ำหรือเก้าอี้มาให้นั่งเลย
อาจารย์เตี่ยนฉวนซือ : ก็เพราะว่าท่านคือ พญามาร !
พญามาร : เจ้าดูสิ! พวกเขาต่างมีปัญญา
คำกล่าวของข้าแต่ละคำ ล้วนทดสอบเจ้าทั้งนั้น
ตอนนี้พญามารต้องการเก้าอี้
และน้ำ แต่ไม่มีใครเอาให้

พญามาร : ฮึ่ม ! ไม่ผิดเลยที่เป็นศิษย์ของจี้กง ใจธรรมแกร่งนัก ทำให้ลูกหลานมารของข้าทั้งสองด้านไม่อาจเข้ามาผจญได้ คนบำเพ็ญเยี่ยงเจ้ามีเมตตาไม่ใช่หรือ? ทำไมแค่เพียงเก้าอี้กับน้ำสักแก้วยังไม่มี? ข้าชอบคนที่ทุศีลเจแตกนัก ใครว่าอะไรก็เชื่อเขา อีกทั้งคนที่ไม่ปฏิบัติตามพุทธจริยระเบียบ ไม่เคารพอาจารย์ ไม่เทิดทูนธรรมะ ขอให้รู้ไว้ว่า ข้าอยู่ข้างกายเจ้าตลอด แค่เพียงจิตเจ้าสั่นไหว มารก็จะเข้าแทรก ปลายกัปล์เช่นนี้ มีผู้คนจำนวนมากที่ผิดต่อธรรมะ แล้วหันเข้ามาสู่กระแสของข้าเป็นสมุนของข้า
หากเจ้าผ่านการทดสอบของข้าได้ เจ้าก็สามารถกลับคืนเบื้องบนได้ หากก้าวไม่พ้นการทดสอบของข้า เจ้าก็จะต้องตกลงสู่นรกภูมิตอนนี้รู้จักข้ามากขึ้นหรือยัง? อยากให้ข้ามาประทับญาณ บ่อยๆไหม?
นักเรียนในชั้น : ไม่
พญามาร : ทำไมไม่ชอบข้า?
นักเรียนในชั้น : ไม่อยากตกนรก
พญามาร : ข้าชอบสอบเตี่ยนฉวนซือและเจี่ยงซือแนวหน้า บุญกุศลของข้าจึงจะมากเพราะถ้า ข้ามีบุญกุศลมากพอ ข้าก็คืนเบื้องบนได้เช่นกัน ถ้าเจ้าบำเพ็ญตามบุคคลบำเพ็ญตามคนก็จะถูกบุคคลทดสอบ ข้าชอบเวลาที่ปณิธานของเจ้าอ่อนแรง ไม่มุ่งมั่นต่อธรรมะลูกหลานมารข้าก็จะอยู่เคียงข้างเจ้า ยินดีต้อนรับเจ้าทั้งหลายเข้าร่วมกระแสของข้า หวังว่ายามใดที่เจ้าพบเจอกับการทดสอบจะเรียกข้ามาหาข้า หน้าที่ของข้าเสร็จสิ้นแล้ว ไม่หน่วงเวลาของเจ้าอีกต่อไป ฮ่า..ฮ่า... ถอน..........
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
หลังจากพญามารได้ถอนประทับ
ด้วยความเป็นห่วงศิษย์ทั้งหลาย พระอาจารย์
จี้กงจึงได้เมตตาประทับญาณ

เรา คือ
พระพุทธะจี้กง รับบัญชาจาก
พระแม่องค์ธรรม มาที่นี่นานแล้ว
ก้มกราบอภิวันท์
พระองค์ธรรมมารดา ศิษย์ทั้งหลายนั่งเถิด

พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทแก่นักเรียนในชั้น

พระอาจารย์จี้กง: ศิษย์ทั้งหลายตื่นตระหนดหรือไม่? อยากตามพญาอสูรไปหรือเปล่า?
นักเรียนในชั้น : ไม่อยากครับ/ค่ะ
พระอาจารย์จี้กง : ใจจะต้องสงบนิ่ง เมื่อสงบนิ่งแล้ว จึงจะแบ่งแยกจริงเท็จได้ เจ้าทั้งหลายล้วนเป็นพุทธบริกร และได้ตั้งปณิธานทานเจแล้วทั้งนั้น คนที่ตั้งปณิธานแล้วยืนขึ้นเหตุใดจึงส่งเสริมให้เจ้าตั้งปณิธาน การตั้งปณิธานทานเจไม่มีบุญกุศล เพราะนั่นคือหน้าที่ของเรา ทำไมต้องตั้งปณิธานทานเจ?ก็เพื่อตัดกรรมชั่ว ไม่ต้องผูกกรรมกับสัตว์เดรัจฉานอีกต่อไป ไม่เช่นนั้น ยิ่งผูกยิ่งลึกยิ่งมัดยิ่งแน่น อย่างนี้ฟังเข้าใจใหม?
เมื่อตั้งปณิธานทานเจแล้ว ปัญญาก็จะค่อยๆบังเกิด ดูอย่างอาวุโสที่ยืนอยู่ข้างหน้าท่านเหล่านั้นไม่เคยที่สั่นคลอน หรือหวั่นไหวคนที่ยังไม่ได้ตั้งปณิธานก็ให้รีบตั้ง แต่เมื่อตั้งไปแล้วก็ต้อง รักษาปณิธาน รักษาหน้าที่ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นลูกมารหลานมารหรือแม้แต่พญามารก็ไม่อาจโค่นล้มเจ้าได้
ทำไมต้องเร่งสร้างปณิธาน? ด้วยเหตุของมหันตภัยมากมาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นดูธงในการฉุดช่วย เพราะคนที่ตั้งปณิธานทานเจแล้วธงบนหัวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เป็นสิ่งที่ตาเนื้อของเจ้ามองไม่เห็น แต่ในสิ่งที่มองไม่เห็นสามารถขจัดปัดเป่าภัยให้เจ้าได้ บำเพ็ญธรรมจะต้องมั่นคง แน่วแน่ บำเพ็ญให้ตลอดรอดฝั่งศิษย์ทั้งหลาย เจ้าอยากได้มรรคผลหรือไม่?
นักเรียนในชั้น : อยากได้มรรคผลจากพระ อาจารย์
พระอาจารย์จี้กง : มรรคผลของพญามารต้องการใหม?
นักเรียนในชั้น : ไม่ต้องการครับ/ค่ะ
พระอาจารย์จี้กง : บำเพ็ญธรรมจะต้องบำเพ็ญอย่างจริงจังเท้าติดดิน รักษาปณิธานของตน การทำความดีไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นรู้ เจ้าต่างก็เป็นพุทธบริกรกันแล้ว ต้องมีสัมมาศรัทธา มิใช่เพราะสภาพการณ์รอบข้างของเจ้าเปลี่ยนแปลง เรื่องราวหรือผู้คนรอบข้างเปลี่ยน แล้วเจ้าก็เปลี่ยนแปลงปณิธานของตนหากเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับศรัทธาอย่างโง่เขลาบำเพ็ญธรรมะจะต้องศรัทธาให้ถึงที่สุด จึงจะซาบซึ้งถึงเบื้องบน บำเพ็ญธรรมต้องบำเพ็ญแบบทวนกระแส บำเพ็ญทวนกระแสไม่ใช่หันหลังให้ธรรมะ แต่เป็นการหันหลังให้กับสภาพรอบข้าง เร่งฟื้นฟูประเพณีอันดีงามแต่โบราณไม่ว่าจะเป็นคุณธรรมความดีงามต่างๆ ส่งมอบความรักความเมตตา ขจัดความเห็นแก่ตัวไม่ยึดติดในวัตถุ จงหยิบยื่นสิ่งที่ดีให้แก่ผู้อื่นเมื่อเคารพผู้อื่นก็จะได้รับการเคารพตอบ คนที่เห็นแก่ตัว ผู้คนก็ไม่อยากเข้าใกล้ ทำไมไม่บำเพ็ญตามกระแส? เจ้าลองมองดูสิว่าในปัจจุบันนี้ ผู้ชายไม่เหมือนผู้ชาย ผู้หญิงไม่เหมือนผู้หญิง ผู้ชายไว้ผมยาว ผู้หญิงไว้ผมสั้น เสื้อผ้าก็ใส่สับกันมั่ว แล้วอย่างนี้จะแบ่งว่าไหนชายไหนหญิงได้อย่างไร? มีเพียงอาศัยธรรมะ ในการฟื้นคืนขนบธรรมเนียมประเพณีเดิมอันงดงาม เพื่อฟื้นคืนสู่จิตใจไร้เดียงสาดังเดิมจิตศรัทธาแรกเริ่มมีทั้งดีและชั่ว อยู่ที่เจ้าจะใช้อย่างไร? เริ่มศรัทธาในการบำเพ็ญธรรมก็เรียกว่าจิตศรัทธาแรกเริ่ม แต่แรกเริ่มศรัทธา จะต้องศรัทธาอย่างเที่ยงตรง ดังนั้นหวังศิษย์เจ้าจะใช้ปัญญา ผู้บำเพ็ญธรรมควรมีปัญญา โดยเฉพาะ 3 ชัดเจน 4 เที่ยงตรง จะต้องชัดเจน สิ่งที่ผู้บำเพ็ญธรรมควรมี :
1. ตั้งปณิธานแล้วอย่าได้เปลี่ยนแปลงจะต้องเสมอต้นเสมอปลาย
2. ใจบำเพ็ญต้องไม่เปลี่ยน มีเพียงหนทางธรรมเท่านั้นที่สว่างไสว บำเพ็ญธรรมมีการทดสอบมากมาย จะรักษาสภาพจิตให้มั่นคงได้อย่างไร?
2.1 ต้องมีจิตสำนึกคุณ
2.2 ไม่โทษฟ้าหรือกล่าวโทษคน
2.3 จริงจังเท้าติดดิน แล้วดำเนินตามนักธรรมอาวุโส ยามใดที่ใจของเจ้าสั่นคลอนมารล้วนรู้ มารจะอาศัยช่วงที่เจ้าอ่อนแอ เข้ามาผจญ
การเกิดตายในชั่วขณะนั้น คือวิบากกรรมที่สร้างมานับหกหมื่นปี เขาทวงอย่างรวดเร็ว เหตุใดในตอนนี้ ภัยพิบัติจึงได้เกิดขึ้นมากมาย แรงคนยังต้านได้ แต่แรงกรรมยากต้านผู้ที่มีใจใฝ่ธรรม ถ้าจะไม่ทอดทิ้งเขา เมื่อตั้งปณิธานแล้ว จงติดตามอาจารย์ไปทั่วหล้าแม้ฟ้าดินจะเปลี่ยนแปลง แต่ใจของเจ้าจะเปลี่ยนไม่ได้!
3. จิตเมตตาอย่าเปลี่ยน แต่เมตตาก็ต้องเมตตาอย่างมีปัญญา มีเพียงปัญญาที่แท้จริง จึงสามารถผ่านความลำบากได้ เขาบอกให้เจ้าไปพูดธรรมะที่โน่นที่นี่เจ้าไปใหม? พุทธระเบียบก็ต้องรักษา อย่าได้วุ่นวาย บำเพ็ญอยูที่ไหน ก็ลงแรงทุ่มเทอยู่ตรงนั้น มีเพียงอาศัยปัญญาเท่านั้น จึงจะแยกแยะได้ การบำเพ็ญธรรมอยู่ที่ความเรียบง่าย จิตญาณจึงจะบริสุทธิ์ ร่างกายจึงจะแข็งแรง หากนานๆเป็นไข้ที ลบล้างหนี้กรรมได้! แต่ปณิธานจะต้องแน่วแน่จิตใจของมนุษย์ เบื้องบนล้วนรับรู้ไม่ว่าจะสงบหรือเคลื่อนไหว ให้สอดคล้องกับธรรมะ สอดคล้องกับทางสายกลาง คนบำเพ็ญอย่าได้อยากรู้อยากเห็น เพราะความอยากรู้อยากเห็น จะนำเจ้าเข้าสู่นอกรีตนอกรอย บุญกุศลจะถูกลบ หากเจ้าไม่ห่างจากสถานธรรมเจ้าก็จะไม่เดินพลาด หากเราฆ่าสัตว์ ทานเนื้อสารพิษก็จะกระจายไปทั่วร่าง โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรที่ไร้รูปลักษณ์ ก็จะคอยติดตามไปทุกที่ หากเกิดโรคภัยเกิดขึ้น ขอฟ้า ฟ้าไม่ช่วย ขอเดินดินไม่ตอบ กินเขาไปเท่าไร ก็ต้องคืนเขาไปเท่านั้น ดังนั้น การตั้งปณิธานทานเจก็คือการตัดกรรมใหม่ คือการตัดกรรมชั่ว
วันนี้ เมื่อเข้ามาร่วมชั้น จงทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เพราะการทานเจ มิใช่แค่ปากสะอาดเท่านั้น ยังรวมไปถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจต้องบริสุทธิ์ด้วย เมื่อมีกายที่สะอาด จิตใจที่บริสุทธิ์เช่นนี้ ปวงพระพุทธะจึงกล้าเข้าใกล้ใจต้องสำนึกคุณฟ้าบารมีอาจารย์อยู่ตลอดเวลาอีกทั้งอาจารย์เตี่ยนฉวนซือ อาจารย์แนะนำรับรอง ที่ทำให้เราได้ตัดกรรมชั่ว สิ่งที่พระอาจารย์อยากได้ก็คือ จิตศรัทธาจริงใจหวังว่าเมื่อจบชั้นแล้ว เจ้าจะช่วยกันหนุนนำทุกคนร่วมแรงใจ มือจับมือ เพื่อฉุดช่วยมนุษย์ผู้ลุ่มหลง การอยู่ร่วมกันของมนุษย์เรา ล้วนมีเหตุปัจจัย จะต้องให้อภัยซึ่งกัน เพื่อให้เรื่องราวต่างๆสมบูรณ์ แม่ครัว ไม่ว่าเจ้าจะช่วยงานที่ไหนก็ตามขอให้ระวังเรื่องไฟ ปัจจุบันอากาศแห้งแล้งถึงแม้จะมีฝนตกลงมาบ้าง แต่เราก็ต้องระวังตัวด้วย ให้ช่วยเหลือตนเองก่อน
พระอาจารย์มาที่นี่เวลามีจำกัดฯ ขอให้ศิษย์เจ้ารักษาพุทธระเบียบให้ดี อย่าได้เปลี่ยนแปลงปณิธาน ใจบำเพ็ญธรรมจะเปลี่ยนไม่ได้จงระวังสำรวม อย่าได้แกล้งผิดปณิธาน แล้วกินเนื้อ มีเพียงสำนึกขอขมาด้วยความจริงใจจึงจะลบล้างความผิดบาปและหนี้เวรกรรมได้ใจของเจ้าเป็นเช่นไร พระอาจารย์ล้วนรับรู้ ขอให้เจ้าทั้งหลาย รักษาใจกาย
กราบลา
พระองค์ธรรมมารดา ไปยังสถานที่อื่น.....
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ถ้าหากเจ้าขาดซึ่งความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับผู้อื่น
การปฏิบัติงานธรรมของเจ้าก็ยากที่จะก้าวหน้า
หากเจ้าขาดซึ่งจิตสัมผัส เห็นใจ
เจ้าก็จะไม่รู้ว่าอะไรคือจิตสำนึกคุณ
หากเจ้าหยุดเดิน
ความหวังทั้งหมดก็จะสูญสิ้นไปในทันที