พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาราชามูลปณิธานสูตร
藥師琉璃光如來本願功德經
พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาราชามูลปณิธานสูตร
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระศากยมุนีพุทธะ เสด็จประทับ
ณ กรุงเวสาลีสุขโฆสวิหาร พร้อมด้วยพระมหาสาวก ๘,๐๐๐
องค์ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ๓๖,๐๐๐ องค์ และพระราชาธิบดี
เสนาอำมาตย์ ตลอดจนปวงเทพ ในขณะนั้นแล พระมัญชุศรี ผู้
ธรรมราชาบุตร อาศัยพระพุทธาภินิหาร ลุกขึ้นจากที่ประทับทำ
จีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่งลงคุกพระชาณุกับแผ่นดิน ณ เบื้องพระ
พักตร์ของสมเด็จพระโลกนาถเจ้า ประคองอัญชุลีกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดประทาน
พระธรรมเทศนา พระพุทธนามและมหามูลปณิธาน และ
คุณวิเศษอันโอฬาร แห่งปวงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
เพื่อยังผู้สดับพระธรรมกถานี้ให้ได้รับหิตประโยชน์บรรลุถึงสุขภูมิ”
พระบรมศาสดาทรงรับอาราธนาของพระมัญชุศรี
โพธิสัตว์ แล้วจึงทรงพระเกียรติคุณของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าว่า
“ดูก่อนกุลบุตร จากที่นี้ไปทางทิศตะวันออก ผ่าน
โลกธาตุ อันมีจำนวนดุจเม็ดทรายในคงคานที ๑๐ นที รวมกัน
ณ ที่นั้นมีโลกธาตุหนึ่งนามว่า วิสุทธิไพฑูรย์โลกธาตุ ณ
โลกธาตุนั้น มีพระพุทธเจ้าซึ่งทรงพระนามว่า ไภษัชยคุรุไวฑูรย์
ประภาตถาคต พระองค์ถึงพร้อมด้วยพระภาคเป็นพระอรหันต์
เป็นผู้ตรัสรู้ดีชอบแล้วด้วยพระองค์เอง เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชา
และจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นผู้ยอดเยี่ยม
ไม่มีใครเปรียบ เป็นสารถีฝึกบุรุษ เป็นศาสดาแห่งเทวดาและ
มนุษย์ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมกล่าวสอนสัตว์ ดู
ก่อนมัญชุศรี ณ เบื้องอดีตภาค เมื่อตถาคตเจ้าพระองค์นี้ ยัง
เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงตั้ง
มหาปณิธาน ๑๒ ประการเพื่อยังความต้องการแห่งสรรพสัตว์ให้
บรรลุ”
ก็มหาปณิธาน ๑๒ ประการเป็นไฉน
第一大願。
願我來世得阿耨多羅三藐三菩提時。自身光明熾然。照曜
無量無數無邊世界。以三十二大丈夫相八十隨好莊嚴其
身。令一切有情如我無異
1. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งมี
วรกายอันรุ่งเรือง ส่องสาดทั่วอนันตโลกธาตุ บริบูรณ์ด้วยมหาปุ
ริสลักษณะ ๓๒ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ขอให้สรรพสัตว์จงมี
วรกายดุเดียวกับเรา
第二大願。
願我來世得菩提時。身如琉璃內外明徹淨無瑕穢。光明廣
大功德巍巍。身善安住焰網莊嚴過於日月。幽冥眾生悉蒙
開曉。隨意所趣作諸事業
2 .ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอ
ให้วรกายของเรามีสีสันดุจไพฑูลย์ มีรัศมีรุ่งโรจน์โชตนาการยิ่ง
กว่าแสงจันทร์และแสงอาทิตย์ ประดับด้วยคุณาลังการอัน
มโหฬารไพศาลพันลึก ส่องทางให้แก่สัตว์ที่ตกอยู่ในอบายคติ
ให้หลุดพ้นเข้าสู่คติที่ชอบตามปรารถนา
第三大願。
願我來世得菩提時。以無量無邊智慧方便。令諸有情皆得
無盡。所受用物。莫令眾生有所乏少
3. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ขอ
ให้เราได้ใช้ปัญญาโกศลอันล้ำลึกสุขุมไม่มีที่สิ้นสุด ยังสรรพ
สัตว์ให้ได้รับโภคสมบัตินานาประการ อย่าได้มีความยากจน
ใดๆ
第四大願。
願我來世得菩提時。若諸有情行邪道者。悉令安住菩提道
中。若行聲聞獨覺乘者。皆以大乘而安立之
4. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หาก
มีสัตว์ใดที่เป็นมิจฉาทิฐิ ก็ขอให้เรายังเขาให้ตั้งมั่นในสัมมาทิฐิ
ในโพธิมรรค หากมีสัตว์ใดดำเนินปฏิปทาแบบสาวกยาน ปัจเจก
ยาน ก็ขอให้เราสามารถยังเขามาดำเนินปฏิทาแบบมหายาน
第五大願。
願我來世得菩提時。若有無量無邊有情。於我法中修行梵
行。一切皆令得不缺戒具三聚戒。設有毀犯聞我名已。還
得清淨不墮惡趣
5. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หาก
มีสรรพสัตว์ใดมาประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยของเรา ก็ขอ
ให้เขาเหล่านั้นอย่าได้มีศีลวิบัติเลย จงบริบูรณ์ด้วยองค์แห่งศีล
ทั้ง ๓ เถิด หากมีผู้ใดศีลวิบัติ เมื่อได้สดับนามแห่งเรา ก็ขอให้
จงบริบูรณ์ดุจเดิมไปตกสู่ทุคตินิรยาบาย
第六大願。
願我來世得菩提時。若諸有情。其身下劣諸根不具。醜陋
頑愚盲聾瘖啞攣躄背僂白癩癲狂種種病苦。聞我名已一切
皆得端正黠慧。諸根完具無諸疾苦
6. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หาก
มีสรรพสัตว์มีกายอันเลวทราม มีอินทรีย์อันไม่ผ่องใส โง่เขลา
เบาปัญญา ตาบอดหรือหูหนวกเป็นใบ้ หรือหลังค่อม สารพัด
พยาธิทุกข์ต่างๆ เมื่อได้สดับนามแห่งเรา ก็ขอให้หลุดพ้นจาก
ปวงทุกข์เหล่านั้น มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีอินทรีย์ผ่องใส
สมบูรณ์
第七大願。
願我來世得菩提時。若諸有情。眾病逼切無救無歸無醫無
藥無親無家貧窮多苦。我之名號一經其耳。眾病悉得除身
心安樂。家屬資具悉皆豐足。乃至證得無上菩提
7. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หาก
มีสรรพสัตว์อันทุกข์เบียดเบียน ปราศจากที่พึ่งพิงและที่อยู่
อาศัย ปราศจากแพทย์และยา ปราศจากวงศาคณาญาติ อัน
ความยากจนข้นแค้น มีทุกข์มาเบียดเบียนแล้ว เพียงแต่นาม
แห่งเราผ่านโสตของเขาเท่านั้น ขอสรรพความเจ็บป่วยจงปราศ
ไปสิ้น เป็นผู้มีกายใจอันผาสุก มีบ้านเรือนอาศัย พรั่งพร้อมด้วย
ธนสารสมบัติ จนที่สุดก็จักได้สำเร็จแก่พระโพธิญาณ
第八大願。
願我來世得菩提時。若有女人。為女百惡之所逼惱。極生
厭離願捨女身。聞我名已一切皆得轉女成男具丈夫相。乃
至證得無上菩提
8. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หาก
มีอิสตรีใด มีความเบื่อหน่ายต่อเพศแห่งตน ปรารถนาจะกลับ
เพศเป็นบุรุษไซร้ มาตรว่าได้สดับนามแห่งเรา ก็จงสามารถ
เปลี่ยนเพศจากหญิงเป็นชายได้ตามปรารถนา จนที่สุดก็จักได้
สำเร็จแก่พระโพธิญาณ
第九大願。
願我來世得菩提時。令諸有情。出魔罥網。解脫一切外道
纏縛。若墮種種惡見稠林。皆當引攝置於正見。漸令修習
諸菩薩行速證無上正等菩提
9. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เรา
จงสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากข่ายแห่งมาร และ
เครื่องผูกพันของเหล่ามิจฉาทิฐิให้สัตว์เหล่านั้น ตั้งอยู่ในสัมมา
ทิฐิ และให้ได้บำเพ็ญโพธิสัตย์จริยาจนบรรลุพระโพธิ ญาณในที่สุด
第十大願。
願我來世得菩提時。若諸有情。王法所錄。縲縛鞭撻繫閉
牢獄或當刑戮。及餘無量災難凌辱悲愁煎迫。身心受苦。
若聞我名。以我福德威神力故。皆得解脫一切憂苦
10. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มี
สัตว์เหล่าใดถูกต้องพระราชอาญา ต้องคุมขัง รับทัณฑกรรมใน
คุกตะราง หรือต้องอาญาถึงประหารชีวิต ตลอดจนได้รับการข่ม
เหงคะเนงร้าย ดูหมิ่นดูแคลนเหยียดหยามอื่นๆ เป็นผู้มีอันคับ
แค้นเผาลนแล้ว มีใจกายอันวิปฏิสารอยู่ หากได้สดับนามแห่ง
เรา ได้อาศัยบารมี และคุณาภินิหารย์ของเรา ขอสัตว์เหล่านั้น
จงหลุดพ้นจากปวงทุกข์ดังกล่าว
第十一大願。
願我來世得菩提時。若諸有情。飢渴所惱。為求食故造諸
惡業。得聞我名專念受持。我當先以上妙飲食飽足其身。
後以法味。畢竟安樂而建立之
11. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มี
สัตว์เหล่าใดมีความทุกข์ด้วยหิวกระหายแล้ว ประกอบ
อกุศลกรรมเพราะเหตุแห่งอาหารไซร้ หากได้สดับนามแห่งเรา
มีจิตหมั่นตรึกนึกภาวนาเป็นนิตย์ เราจักประทานเครื่องอุปโภค
บริโภค อันประณีตแก่เขา ยังเขาให้อิ่มหนำสำราญแล้ว จัก
ประทานธรรมรสแก่เขาให้เราได้รับความสุข
第十二大願。
願我來世得菩提時。若諸有情。貧無衣服。蚊虻寒熱晝夜
逼惱。若聞我名專念受持。如其所好即得種種上妙衣服。
亦得一切寶莊嚴具華鬘塗香鼓樂眾伎。隨心所翫皆令滿足
12. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มี
สัตว์เหล่าใดที่ยากจน ปราศจากอาภรณ์นุ่งห่มอันความหนาว
ร้อน และเหลือบยุงเบียดเบียนทั้งกลางวันและกลางคืน หากได้
สดับนามแห่งเราและหมั่นรำลึกถึงเราไซร้ เขาจักได้สิ่งที่
ปรารถนาและจักบริบูรณ์ด้วยธนสารสมบัติ สรรพอาภรณ์ เครื่อง
ประดับและเครื่องบำรุงความสุขต่างๆ ฯลฯ
ครั้นแล้ว พระบรมศาสดาศากยมุนีพุทธเจ้า ตรัสต่อไปว่า
พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านี้ มีพระโพธิสัตว์ผู้ใหญ่ ๒ องค์ คือ พระ
สุริยไวโรจนะ และพระจันทรไวโรจนะ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ช่วย
ของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า
เบื้องปลายแห่งพระสูตรนั้น ทรงแสดงอานิสงส์ของ
การบูชาพระไภษัชยคุรุว่า
“ผู้ใดก็ดี ได้บูชาพระองค์ด้วยความเคารพเลื่อมใสแล้ว ก็
จักเจริญด้วย อายุ วรรณ สุข พละ ปราศจากภัยบีฑา ไม่ฝันร้าย
ศัสตรวุธทำอันตรายมิได้ สัตว์ร้ายทำอันตรายมิได้ โจรภัยทำ
อันตรายมิได้ ยาพิษทำอันตรายมิได้ ฯลฯ”
นอกจากนั้นทรงแสดงถึงพิธีจัดมณฑลบูชา พระไภษัช
ยคุรุ อีกด้วยว่า ต้องจัดพิธีมีเครื่องบูชาอย่างนั้นๆ และทรง
ประทานพระคาถาบูชา พระไภษัชยคุรุ ด้วยในเวลาตรัสพระ
คาถานี้ พระบรมศาสดาทรงประทับเข้าสมาธิชื่อ
“สรวสัตวทุกขภินทนาสมาธิ” ปรากฏรัศมีไพโรจน์ขึ้น
เหนือพระเกตุมาลา แล้วจึงตรัสพระคาถามหาธารณี ดังนี้
“นโม ภควเต ไภษชฺยคุรุ ไวฑูรฺยปรฺภาราชาย
ตถาคตยารฺทเต สมฺยกฺสมฺพุทฺธาย
โอมฺ ไภเษชฺเย ไภเษชฺย สมุรฺคเตสฺวาหฺ”
ครั้นตรัสพระมหาธารณีนี้แล้ว พสุธาก็กัมปนาทหวาดไหว
แสงสว่างอันโอฬารก็ปรากฏ สัตว์ทั้งปวงก็หลุดพ้นจากสรรพ
พยาธิ บรรลุสุขสันติอันประณีตแล้ว พระบรมศาสดา จึงตรัสว่า
“ดูก่อนมัญชุศรี ถ้ามีกุลบุตร กุลธิดาใด อันพยาธิทุกข์
เบียดเบียนแล้ว ถึงตั้งจิตให้เป็นสมาธิ แล้วนำพระมหาธารณีบท
นี้ ปลุกเสกอาหารหรือยา หรือน้ำดื่มครบ ๑๐๘ หน แล้วดื่มกิน
เข้าไปเถิด จักสามารถดับสรรพปวงพยาธิได้ ฯลฯ”
วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาราชามูลปณิธานสูตร
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น